ทำเนียบอดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม

 ทำเนียบอดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
 
 

หมวดหมู่: 

๑. ประวัติพระพรหมมุนี (ชิต)

 ประวัติพระพรหมมุนี(ชิต)

 

00004

 

 

 

ประวัติพระพรหมมุนี(ชิต)
( ท่านเจ้าคุณหอไตร อดีตเจ้าอาวาส องค์ที่ ๒)
พระพรหมมุนี หรือ พระอาจารย์ชิต ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช
๒๒๘๐ - ๒๒๘๑ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แขวงเมืองสิงห์บุรี เมื่อท่านเจริญวัยอายุย่างเข้า ๒๐ แล้ว ท่านมีศรัทธา เข้าถือศีลฟังธรรม เจริญพระกรรมฐาน ถือเพศเป็นปะขาว นุ่งขาว ห่มขาว ออกเที่ยวจาริกธุดงค์ ไปตามวัด ไปตามป่าเขา นั่งบำเพ็ญสมณธรรมตามวัดบ้าง ตามป่าบ้าง ตามถ้ำบ้าง สืบเสาะแสวงหา วิชาความรู้ กับครูบาพระอาจารย์ตามป่าเขา ตามวัดวาอาราม และตามสถานที่ต่างๆเรื่อยไป จนกระทั้งบางครั้งท่านสามารถใช้สมาธิขั้นเอกัคตาจิตบางอย่าง เสกเป่าใบมะขามเป็น ตัวต่อตัวแตนได้ในบางครั้ง
 สมัยปลายอยุธยา ถึงต้นกรุงธนบุรี มีอุบาสกมากมาย เกิดมีความสังเวศสลดใจ
เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ถือเพศเป็นปะขาวกันมาก ชอบเที่ยวสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีมากมายในยุคนั้นสมัยนั้น ใช้กลดขาว มุ้งกลดขาว ธุดงค์ไปนมัสการตามสถานที่สำคัญต่างๆเช่น เขาพระพุทธบาท พระแท่นดงรัง เป็นต้น สถานที่เหล่านั้นเมื่อถึงเทศกาลนมัสการ ก็จะมีทั้งพระภิกษุ ปะขาว ชี มาปักกลดในบริเวณสถานที่เหล่านั้นกันมากมายและท่านเหล่านั้นจะได้พบปะกับสหายธรรมมากมาย ได้ทำการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กัน
บริเวณที่พระภิกษุปักกลดก็จะมีกลดสีกลักเต็มไปหมด บริเวณปะขาว หรือพวก
แม่ชี ที่มีสมาธิจิตกล้าแข็ง ก็จะออกสัญจรจาริก มาปักกลด และก็จะมีกลดสีขาวเต็มพรึด
ไปหมด เหมือนดอกเห็ด ซึ่งปะขาวชิต ท่านก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แต่ท่านปะขาว
มักจะไม่อยู่ในสถานที่เช่นนั้นนานๆ ท่านมักหลบออกไปหาความสงบ วิเวก ตามป่าเขา
เพียงลำพังผู้เดียวเสมอ
วันหนึ่ง ท่านปะขาวชิต ท่านได้พบกับพระอาจารย์สุก ในป่าแห่งหนึ่ง แขวงเมือง
สิงห์บุรี ท่านปะขาวชิตเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระเมตตาธรรมของพระอาจารย์สุก
ภายหลังเมื่อท่านทราบข่าวว่า พระเจ้าตากสินกู้อิสระภาพคืนจากข้าศึกได้แล้ว และตั้ง
กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ต่อมาท่านได้ทราบข่าวอีกว่าพระอาจารย์สุก กลับมาสถิตวัดท่า
หอยแล้ว
ท่านปะขาวชิต มีความปีติ ยินดีมาก จึงเดินทางจาริกมาวัดท่าหอย ขอบรรพชา-
อุปสมบท กับพระอาจารย์สุก ท่านปะขาวชิต บรรพชา-อุปสมบทครั้งนั้น ชนมายุของ
ท่านได้ประมาณ ๒๘ ปี เหตุที่ไม่ได้บรรพชา-อุปสมบทมาแต่ก่อนในคราวอายุ ๒๐–๒๑
ปีนั้น เพราะเหตุว่า ท่านยังไม่อยากจะอุปสมบท และเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาของท่าน ต่อมา
เมื่อท่านได้พบกับพระอาจารย์สุกแล้ว ท่านเห็นว่า ถึงเวลาที่ท่านจะบรรพชาอุปสมบท
ศึกษาบำเพ็ญสมณธรรมอย่างจริงจังเสียที่ เพราะได้อาจารย์ดีมีความรู้สามารถมาก ทั้งทางวิปัสสนาธุระ และคันถธุระ ท่านปะขาวชิต ได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธเสมา วัดท่าหอย โดยมีพระอาจารย์
สุก ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ศุก พระอาจารย์สี สหายธรรม ของพระอาจารย์
สุก เป็นคู่พระกรรมวาจาจารย์ อุปสมบทแล้วในพรรษานั้นเอง ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน
พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ท่านปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ถึงพรรษาดีนัก ท่านก็จบ
ทั้งสมถะ-วิปัสสนามัชฌิมา แบบลำดับ เพราะท่านมีพื้นฐานมาดีก่อนแล้ว จึงเล่าเรียนได้
เร็วไว ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้ออกเที่ยวสัญจรจาริกธุดงค์ ไปตามสถานที่
ต่างๆ แต่ลำพังองค์เดียว บำเพ็ญสมณะธรรม หาความสงบวิเวกตามป่าเขา เนื่องจากท่าน
มีความชำนาญในการออกรุกขมูล มาตั้งแต่ถือเพศเป็นปะขาวแล้ว
พรรษานั้น ท่านเจริญสมณะธรรม ได้บรรลุมรรคผลตามลำดับ โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อานาคามีมรรค อนาคามีผล ตามลำดับ
พร้อมด้วยมรรค ๓ ผล ๓ และอภิญญาหก เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็น
ศิษย์เอก เป็นกำลังสำคัญให้กับพระอาจารย์สุก และพระศาสนา ในกาลต่อมา ท่านเป็นผู้
มีวัตรปฏิบัติมั่นคง เสมอต้น เสมอปลาย
พระอาจารย์ชิต ท่านมีไม้เท้าเบิกไพร ๑ อัน เรียกว่าไม้เท้าเถาอริยะ ท่านได้จากถ้ำ
แห่งหนึ่งในป่าลึก เป็นของพระบูรพาจารย์แต่ก่อนเก่า ซึ่งท่านมาละสังขาร และทิ้งไม้
เท้าเบิกไพรเถาอริยะไว้ที่ถ้ำแห่งนี้
ครั้งเมื่อพระอาจารย์ชิต ยังถือเพศเป็นปะขาวอยู่นั้น ท่านได้เดินทางจาริกมา
บำเพ็ญสมณะธรรมในถ้ำแห่งนั้นและพบไม้เท้าเถาอริยะเข้า กล่าวว่าเทวดาผู้พิทักษ์
รักษาไม้เท้าเถาอริยะบอกถวายให้ท่าน แต่ครั้งนั้นท่านยังมิได้นำเอาไม้เท้าเถาอริยะอัน
นั้น ออกมาจากถ้ำแห่งนี้ เพราะท่านเห็นว่าไม้เท้าเถาอริยะนี้ ควรเป็นของบุคคลที่ถือเพศ
เป็นบรรพชิตเท่านั้น ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านบรรพชา-อุปสมบท และบรรลุมรรคผลแล้ว
ท่านจึงได้จาริกมาที่ถ้ำแห่งนี้อีกครั้ง และได้นำไม้เท้าเถาอริยนี้ออกมา ใช้เบิกไพร แผ่
เมตตา เป็นไม้เท้าประจำตัว คู่บารมี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๖ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๑๔๕
ตรงกับปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๖ พระอาจารย์ชิต เป็นพระสงฆ์อนุจรติดตาม พระ
อาจารย์สุก มากรุงเทพฯ สถิตวัดพลับ
ต่อมาพระอาจารย์สุก ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็น พระปลัด ถานานุกรมชั้นที่หนึ่ง
รับภาระธุระหน้าที่ช่วยดูแล งานด้านการบอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในวัด
พลับองค์แรก ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยของ พระญาณสังวรเถร (สุก) และท่านทำ
หน้าที่เป็น พระอุปัฏฐาก ปรนนิบัติรับใช้ พระญาณสังวรเถร (สุก) ด้วย ท่านจะไม่ยอมรับอาราธนาไปกิจนิมนต์นอกวัด เว้นแต่จะตามพระญาณสังวรเถร
(สุก)ไป ท่านชอบสถิตและจารหนังสือ เจริญภาวนา จำวัด อยู่ณ.บนหอไตรของวัดเสมอ
เวลาท่านไม่อยู่บนหอไตรคือ เวลาที่ไปอุปัฏฐากพระญาณสังวรเถร (สุก) หรือตามพระ
ญาณสังวรเถร ไปกิจธุระนอกพระอาราม
ท่านเป็นผู้มั่นคงด้วยอุปัชฌายวัตร อุปัฏฐากวัตร มีความสันโดด มักน้อย ตราบ
เท่าจนตลอดชีวิตของท่าน,ท่านประพฤติปฎิบัติตนอย่างสม่ำเสมอเช่น เคยต้มน้ำฉันถวาย
พระญาณสังวรเถร (สุก) เมื่อก่อนเคยปฏิบัติอย่างไร ขณะท่านแก่ชราแล้วท่าน ก็ยัง
ประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น สมัยแรกท่านสถิตอยู่บนหอไตรของวัด ตอนแก่ชราภาพลงแล้ว
ท่านก็อยู่บนหอไตรอย่างเดิมเสมอ
พระสงฆ์ที่มาอยู่วัดพลับสมัยแรกๆ ต้องจารหนังสือใบลานเองทุกองค์ รวมทั้ง
ท่านพระปลัดชิตด้วย บางครั้งพระปลัดชิต ต้องจารวิชาการต่างๆลงไปในใบลาน และ
สมุดข่อยไทยดำ ตามคำบอกของพระญาณสังวรเถร (สุก) เนื่องจากตำราต่างๆในสมัยนั้น
หายาก เพราะส่วนมากเป็นของชำรุด ส่วนหนึ่งสูญหายแตกกระจายไปเมื่อครั้งกรุงแตก
มีเป็นจำนวนมาก
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๗–๒๓๒๘ พระปลัดชิต ได้เลื่อนเป็นที่ พระครูปลัดชิต ถานานุกรม ของพระญาณสังวร (สุก)
และช่วยพระญาณสังวรเถร (สุก) ทำพระพิมพ์อรหัง จำนวนหนึ่ง สำหรับแจก
เพื่อเป็นบาทฐานของพระกรรมฐาน
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๗ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านพระครูปลัดชิต ได้รับ
พระราชทานแต่งตั้งให้ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณวิสุทธิเถร พระ
คณาจารย์เอก รับพระราชทานพัดงาสาน
ถ้าเป็นพระสงฆ์ฝ่ายคันถะธุระตัดคำว่า เถร ออก ปีที่ท่านเป็นพระราชาคณะ เป็น
ปีที่สถาปนาพระสังฆราช (ศุก) วัดมหาธาตุฯ เป็นพระสังฆราชองค์ที่สอง แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ หลังจากท่านได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯเป็นพระราชาคณะแล้ว พระญาณสังวรเถร (สุก)อุปัชฌาย์ของท่าน ทรงมอบให้พระญาณวิสุทธิเถร ดูแลพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ทั้งหมด
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๒ ปลายปี เข้าร่วมทำพิธีอาพาธพินาส เจริญพระปริต
รัตนสูตร ปราบอหิวาตกโลก ห่าลงเมืองในรัชกาลที่๒
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ เป็นคณะกรรมการควบคุมการทำสังคายนาพระ
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือน ๒
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เนื่องจากสมเด็จ พระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) สิ้นพระชนม์ลง และอยู่ระหว่างการบำเพ็ญพระราชกุศล
พ.ศ. ๒๓๖๕ ประมาณปลายเดือน ๑๒ เป็นแม่กองงาน หล่อพระรูปสมเด็จ
พระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ร่วมกับทางสำนักราชวัง
ถึงคราวมีกิจนิมนต์ในพระบรมมหาราชวัง พระญาณวิสุทธิเถร (ชิต) นั่งหน้า
สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เหตุว่ามีพรรษายุกาลมากกว่า พระญาณวิสุทธิเถร (ชิต) มี
พรรษายุกาลมากกว่า สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ถึง ๒๐ พรรษา และเป็นพระอาจารย์
บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) มาแต่ก่อนด้วย
เนื่องจากทำเนียบตำแหน่งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ฝ่ายอรัญวาสีไม่มีตำแหน่งว่าง
แต่พระญาณวิสุทธิเถร(ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตร เวลามีกิจนิมนต์เข้าไปใน
พระบรมมหาราชวัง ท่านนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช(ด่อน) ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้วนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้
เจ้ากรมอาลักษณ์ ตั้งราชทินนามพระราชาคณะผู้ใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี นอกทำเนียบขึ้นมา
ใหม่เป็นการเฉพาะ เนื่องจากตำแหน่งราชาคณะผู้น้อย จะนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราชนั้น
ไม่เหมาะสมนัก ต่อมาเจ้ากรมอาลักษณ์ ถวายพระราชทินนามที่ พระธรรมมุนี พระ
เจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัย
ถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนอ้าย จุลศักราช ๑๑๘๔ ตรงกับพระพุทธศักราช
๒๓๖๕ เป็นปีที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อน
พระญาณวิสุทธิเถรเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระธรรมมุนี
สำเนา แต่งตั้ง
ให้พระญาณวิสุทธิเถร (ชิต) เลื่อนที่เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระธรรมมุนี ศรี
วิสุทธิญาณ สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตวัด
ราชสิทธาวาส พระอารามหลวง
เทียบตำแหน่งเจ้าคณะอรัญวาสี เป็นพระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
พระราชทานนิตยภัต ๔ ตำลึงกึ่ง(๒ บาท ) ตั้งถานานุกรมได้ ๕ รูป พระครูปลัด ๑ พระ
ครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา ๑ พระราชทานพัดแฉก
ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ๑ กับพัดงาสาน ๑ เป็นปีที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุ
พระธรรมมุนี (ชิต) เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ต่อมาจากสมเด็จ
พระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระองค์ที่สอง ของวัด
ราชสิทธาราม (พลับ) ปรกติท่านมีปกตินิสัยรักสันโดด ชอบสถิตอยู่บนหอไตร ของวัด
เสมอ เพราะเป็นสถานที่สงบเงียบ ท่านสถิตอยู่บนหอไตร ตั้งแต่มาอยู่วัดพลับครั้งแรก
จนตราบเท่าถึงสิ้นอายุขัยของท่าน คนทั้งหลายมักเรียกขานนามของท่านว่า ท่านเจ้าคุณ
หอไตร จนติดปาก ต่อมาสมัยในหลังๆ ไม่มีใครรู้จักราชทินนามสมณะศักดิ์ของท่าน
เพราะท่านถือความสันโดด มักน้อย อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตลอดชนชีพของท่าน เมื่อ
แรกมาสถิตวัดพลับ เคยปฏิบัติอย่างไร ปั้นปลายชีวิตของท่าน ก็ประพฤติปฏิบัติเหมือน
อย่างนั้น
อธิบายศัพท์ ธรรมมุนี
ธรรม หมายความว่า สภาพที่ทรงไว้ ธรรมดา ธรรมชาติ สภาวธรรม คุณความดี
ความประพฤติชอบ ความยุติธรรม มุนี หมายความว่า นักปราชญ์ ผู้สละเรือน
ทรัพย์สมบัติแล้ว มีจิตใจตั้งมั่นเป็นอิสระไม่เกาะเกี่ยวติดพันในสิ่งทั้งหลาย สงบเย็น ไม่
ทะเยอทะยานฝันใฝ่ความหมายเหล่านี้เป็นลักษณะคุณสมบัตินิสัยของพระธรรมมุนี(ชิต)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๒ ทรงตั้งราชทินนามนี้ขึ้นใหม่ ถวาย
เฉพาะพระญาณวิสุทธิ์เถร(ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตร ภายหลังจากท่านเลื่อนที่จากพระ
ธรรมมุนี เลื่อนที่ขึ้นเป็นพระพรหมมุนีแล้ว จึงทรงยกเลิกตำแหน่ง พระธรรมมุนี
ตำแหน่งพระธรรมมุนีนี้เทียบเท่าพระราชาคณะผู้ใหญ่ตำแหน่งที่ พระพรหมมุนี
เนื่องจากเวลานั้น พระพรหมมุนี (นาค) วัดราชบูรณะ ยังคงดำรงตำแหน่งนี้อยู่
ท่านดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ปีที่สถาปนา สมเด็จพระญาณ
สังวร (สุก) ต่อมาประมาณเดือนหก จุลศักราช ๑๑๘๕ ตรงกับปีพระพุทธศักราช
๒๓๖๖ ปลายรัชกาลที่๒ ห่างจากการสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน)ประมาณ ๕
เดือน พระธรรมอุดม (ไม่ทราบวัด) ได้ถึงแก่มรณภาพลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เลื่อน พระพรหมมุนี (นาค) ขึ้นเป็นพระธรรมอุดม แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เลื่อนพระธรรมมุนี (ชิต) เป็นที่ พระพรหมมุนี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๗ ประมาณปลายปี เริ่มเข้ารัชกาลที่ ๓ พระธรรมมุนี
(ชิต) เลื่อนที่เป็น พระพรหมมุนี เนื่องจากพระพรหมมุนี (นาค) วัดราชบูรณะ เลื่อนที่
เป็น พระธรรมอุดม พระพรหมมุนี (ชิต)ได้รับพระราชทาน นิตยภัต ๕ ตำลึง เป็นเจ้า
คณะใหญ่อรัญวาสี เทียบเท่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์เดิม เนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์
(เป้า) ไปสถิตวัดธรรมาวาส แขวงกรุงเก่า อันเคยเป็นที่สถิตของ พระอุบาลี สมัยพระ
เจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯโปรดเกล้าฯให้ไปประดิษฐานพระศาสนา
ในลังกาทวีป
ให้พระธรรมมุนีเป็น พระพรหมมุนี ศรีวิสุทธิญาณ สัตตวิสุทธิ จริยาปรินายก
สปิฏกธรา มหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตในวัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวง
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มีนิตย์ภัต ๕ ตำลึง มีถานานุศักดิ์ควรตั้ง ถานานุ
กรมได้ ๘ รูป พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูศัพทสุนทร ๑
พระครูอมรโฆสิต ๑ พระครูสมุห์๑ พระครูใบฏีกา ๑ พระครูธรรมรักขิต ๑ รับ พระราชทานพัดสองเล่ม พัดงาสาน เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๑ พัดทรงแฉกพุ่ม
ข้าวบิณฑ์ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ๑ เล่ม ทำหน้าที่แทนตำแหน่งสมเด็จพระพุฒา
จารย์ (เป้า) เนื่องจากวัดพลับ เป็นสำนักพระกรรมฐานหลัก สำนักพระกรรมฐานใหญ่
แทนวัดป่าแก้วสมัยอยุธยา เจ้าอาวาสจึงทำหน้าที่เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
ในกรุงรัตนโกสินทร์ มีวัดอรัญวาสีไม่มากเหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยา, ในสมัยกรุง
ศรีอยุธยา มีวัดอรัญวาสีอยู่ถึง ๑๐ กว่าวัด ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ จึงมีวัดอยู่ในบังคับ
บัญชา และจึงคุมคณะอรัญวาสีทั้งหมด แต่กรุงรัตนโกสินทร์มี วัดอรัญวาสีเพียง ๒ วัด
คือวัดพลับ และวัดราชาธิวาส จึงไม่พอตั้งเป็นคณะได้ จึงยกตำแหน่งสมเด็จพระพุฒา
จารย์ ขึ้นเป็นคณะกิตติมศักดิ์เท่านั้น
เมื่อมีกิจนิมนต์ในพระบรมมหาราชวัง พระพรหมมุนี (ชิต) นั่งหน้าสมเด็จ
พระสังฆราช (ด่อน) เพราะมีพรรษายุกาลมากกว่า อีกทั้งยังเป็นพระอาจารย์กรรมฐาน
องค์ที่สอง ของสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) กับพระมหาเถร ผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งปวงในสมัย
นั้น และเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์ที่สอง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
๓ ครั้งทรงผนวชอยู่วัดราชสิทธาราม หนึ่งพรรษา
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ รัชกาลที่ ๓ ถืออาวุโสทางอายุพรรษาตามพระ
ธรรมวินัย มากกว่าสมณะศักดิ์ จึงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ จึง
ทรงให้ถืออาวุโส ทางผู้มีสมณะศักดิ์สูงนั่งหน้า พระมหาเถรทั้งปวง ทรงยกเลิกอาวุโส
ทางอายุพรรษา ตั้งแต่นั้นมา
อธิบายคำว่า พรหม หมายความว่า ผู้ประเสริฐ เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม มุนี
หมายความว่า ผู้สละเรือนแล้ว มีจิตใจตั้งมั่น ไม่เกาะเกี่ยว ติดพัน ในลาภ ยศ สุข
สรรเสริญ สงบเย็น ไม่ทะเยอทะยานอยากมีอยากเป็น คำอธิบายนี้เป็นอุปนิสัย ของพระ
พรหมมุนี (ชิต)
ในกรุงรัตนโกสินทร์ มีสร้อยราชทินนามเหมือนกันห้าองค์ ต่างกันตรงคำแรก
นอกนั้นเหมือนกัน
๑. สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดพลับ คำแรกคือ อดิศรสังฆเถรา นอกนั้น
เหมือนกัน
๒. พระพรหมมุนี (ชิต) วัดพลับ คำแรกคือ ศรีวิสุทธิญาณ นอกนั้น
เหมือนกัน
๓. พระพุทธาจารย์ (สนธิ์) วัดสระเกศ คำแรกคือ ญาณวรา นอกนั้น
เหมือนกัน
๔. พระญาณสังวร (ด้วง) วัดพลับ คำแรกคือ สุนทรสังฆเถรา นอกนั้น
เหมือนกัน
๕. พระญาณสังวร (บุญ) วัดพลับ คำแรกคือ สุนทรสังฆเถรา นอกนั้น
เหมือนกัน
ตำแหน่ง พระญาณสังวรเถร (ด้วง) พระญาณสังวรเถร (บุญ) ต่อมาเลื่อนที่ขึ้น
เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทินนามเดิม ตัดคำว่า เถร ออก นอกนั้นเหมือนกัน
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๗ เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีวอก ฉอศก พระธรรมมุนี (ชิต)
พร้อม ถานานุกรมชั้นต้น ๕ รูป พระเทพโมลี (กลิ่น) พร้อมถานานุกรม ๔ รูป เข้ารับ
พระราชทานเทียนพรรษาประจำปี ณ. พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ดังนี้

-----------------------------------
๐พระราชาคณะ ๑ (พระพรหมมุนี ชิต )
ถานานุกรม ๕
วัดราชสิทธิ์ เปรียญสามประโยค ๑
อาจารย์วิปัสสนา ๑ รวม ๑๔
คู่สวดนาค-กฐิณ ๒
คู่สวดภาณยักษ์ ๔ ทั้งหมด ๒๒ รูป
๐พระราชาคณะ ๑ (พระเทพโมลี กลิ่น)
ถานานุกรม ๔ รวม ๘
อาจารย์วิปัสสนา ๑
คู่สวดภาณยักษ์ ๒
(จากหมายรับสั่ง รัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๖ เลขที่ ๓๖ สมุดไทยดำ )
-------------------------------------------
ประมาณต้นปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสีโดยตรง
เนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์(เป้า) วัดธรรมาวาส กรุงเก่า ได้มรณะภาพลง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ยังมิได้สถาปนาตำแหน่ง (สมเด็จ) พระพุฒา
จารย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงตั้งพระทัยไว้ว่า เมื่อ
พระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เป้า)แล้ว จะสถาปนาพระพรหมมุนี (ชิต)
วัดราชสิทธาราม เป็นพระพุฒาจารย์ แต่พระพรหมมุนี (ชิต) ก็มามรณะภาพลงเสียก่อน
ประมาณปีพระพุทธศักราช. ๒๓๖๘ พระพรหมมุนี (ชิต) วัดราชสิทธาราม
มรณะภาพลงนั้น ตำแหน่งพระพรหมมุนี ได้ว่างลงถึง ๖ ปี ต่อมาปี พ.ศ. ๒๓๗๓ จึง
ทรงแต่งตั้งพระญาณวิริยะ (สนธิ์) วัดสระเกศ เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระพรหมมุนี
เพราะพระพุฒาจารย์ (สนธิ์)เป็นศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จ
พระสังฆราช (ไก่เถื่อน) และเป็นศิษย์พระพรหมมุนี (ชิต) วัดราชสิทธาราม ครั้งนั้นจึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ยังไม่มีพระเถรองค์ใดเหมาะสมกับ
ตำแหน่งนี้ เพราะตำแหน่งพระพุฒาจารย์ต้องเชี่ยวชาญพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
และเป็นพระคณาจารย์เอกด้วย ครั้งนั้นทางการคณะสงฆ์ก็ยังมีความวุ่นวายอยู่มาก
ตำแหน่งพระพุฒาจารย์จึงว่างลงถึง ๑๗ ปี คือตั้งแต่ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ ถึงปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๘๕ ต่อมาถึงปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๖ จึงทรงแต่งตั้ง พระพรหมมุนี
(สนธิ์)วัดสระเกศ ขึ้นดำรงตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ญาณวราฯ เพราะพระพุฒาจารย์
(สนธิ์)ได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มาแต่เดิมจากวัดพลับ สมัยพระญาณ
สังวรเถร (สุก) ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระพุฒาจารย์(สนธิ์)ก็มีคุณธรรมสูงมากแล้ว
การศึกษาสมัยพระพรหมมุนี(ชิต) ครองวัดราชสิทธาราม
การศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมี พระพรหมมุนี (ชิต) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่าย
วิปัสสนาธุระ พระอาจารย์ผู้ช่วยบอกกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับมี พระญาณโพธิ์เถร
(ขาว) ๑ พระครูกิจจานุวัตร (สี )๑พระครูวินัยธรรมกัน ๑พระญาณสังวรเถร (ด้วง) ๑
พระครูญาณมุนี (สน) ๑ พระครูญาณกิจ (ด้วง) ๑ พระอาจารย์กลิ่น (คนละองค์กับมหา
กลิ่น) ๑ พระอาจารย์คำ ๑ พระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) ๑ พระครูศีลสมาจารย์ (บุญ) ๑ พระ
ปลัดมี ๑ พระปลัดเมฆ ๑ ฯ
การศึกษาด้านพระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์มี พระวินัยรักขิต (ฮั่น) เป็น
พระอาจารย์ใหญ่ เมื่อพระวินัยรักขิต มรณะภาพลงแล้ว พระเทพโมลี (กลิ่น) เป็นพระ
อาจารย์ใหญ่ มีพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกหนังสือปริยัติธรรมพระบาลีคือ พระปิฏกโกศลเถร
(แก้ว) ๑ พระมหาทัด ๑พระมหาเกิด ๑ และยังมีอีกหลายท่านไม่ปรากฏนาม
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ พระพรหมมุนี (ชิต) ท่านปกครองวัดราช
สิทธาราม (พลับ) อยู่ประมาณ ๒ ปี ๖เดือนเศษ ท่านก็ถึงแก่มรณะภาพลงด้วยโรคชรา
เมื่อสิริรวมอายุได้๘๘ ปี
ก่อนที่ท่านจะมรณะภาพลงในปีนั้น ท่านได้ออกเดินทางไปที่ถ้ำในป่าแห่งหนึ่ง
ท่านเดินทางไปทางเรือ ไปขึ้นบกเมื่อใกล้เขตป่าใกล้ถ้ำแห่งนั้น เพราะเวลานั้นท่านมีชน
มายุมากแล้วถึง ๘๘ ปี การไปครั้งนั้นท่านไปกับ พระอาจารย์คำ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็น
พระอาจารย์บอกพระกรรมฐานมชฌิมา แบบลำดับ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๖๔ และต่อมาพระพรหมมุนี (ชิต)ได้อาพาธ และถึงแก่มรณะภาพลงที่ถ้ำแห่งนั้นกล่าวว่าท่านให้พระอาจารย์คำ พยุงพาท่านเข้าไปในซอกถ่ำลึกที่ท่านเคยเข้าไป
เข้าฌานสมาบัติแต่ก่อนนั้น เมื่อคราวออกสัญจรจาริกธุดงค์ ก่อนมรณะภาพท่านได้สั่งไว้
กับ พระอาจารย์คำ ว่าไม่ต้องนำเอาสรีระสังขาร กับบริขารของท่านกลับวัดพลับ ให้
เอาไว้ในถ้ำแห่งนี้ จะได้ไม่เป็นภาระยุ่งยากแก่ผู้อื่น ท่านตั้งใจไว้อย่างนี้ เหตุที่ท่านไป
มรณะภาพในป่าก็ด้วยเหตุ ดังนี้…………..
ท่านไม่ต้องการให้สรีระสังขารของท่านเป็นภาระแก่ผู้อื่น เนื่องจากถ้าท่าน
มรณะภาพลงที่วัด ทางคณะศิษยานุศิษย์ฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส จะต้องเก็บสรีระของท่าน
ไว้บำเพ็ญกุศลนานหลายปี ตามประเพณีนิยมในครั้งนั้น จะเป็นที่วุ่นวาย ทำให้ภายในวัด
ไม่สงบ เสียเวลาการบำเพ็ญเพียรภาวนาของผู้อื่น เนื่องจากท่านเป็นพระมหาเถระที่มี
ชื่อเสียงมีผู้คนเคารพนับถือ ยำเกรงท่านมากในสมัยนั้น รองลงมาจากสมเด็จ
พระสังฆราช ไก่เถื่อน อีกทั้งในเวลานั้น ที่วัดราชสิทธาราม ก็ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ อดีต
พระมหาเถรผู้ใหญ่แล้วถึงสองศพคือ พระญาณโพธิ์เถร (ขาว) พระวินัยรักขิต (ฮั่น) อีก
ประการหนึ่งท่านไม่ต้องการ เข้าโกศ เพราะท่านไม่ต้องการเทียบชั้น ตีเสมอ องค์พระ
อาจารย์ คือสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน นี่เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งของท่าน และของ
พระสมถะทั้งปวงในวัดราชสิทธาราม (พลับ) ครั้งนั้นคณะสงฆ์ในกรุงรัตนโกสินทร์
กำลังวุ่นวาย ท่านจึงหนีความวุ่นวายนี้ด้วย
พระอาจารย์คำ กลับมารายงานทางวัดให้ พระเถรผู้ใหญ่ทราบ ทางวัดก็ได้
รายงานให้ทางราชสำนักทราบ สมัยนั้นพระราชาคณะมรณะภาพลง ต้องกราบบังคมทูล
ลามรณะภาพตามธรรมเนียม เมื่อทางราชสำนักทราบ ก็เตรียมโกศ สำหรับเจ้าคณะใหญ่
อรัญวาสี มาสำหรับใส่สรีระสังขารท่าน มาในครั้งนั้นด้วย แต่มาแล้วก็ต้องเอาโกศนั้น
กลับไป เพราะพระศพของท่านไม่อยู่ที่วัด ท่านได้สั่งไว้กับพระอาจารย์คำ ไว้ในเรื่องนี้
ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงทราบฝ่าพระบาท ทรงเสีย
พระราชหฤทัยมาก ต่อมาทางราชการ และคณะสงฆ์ ได้จัดการบำเพ็ญอุทิศส่วนกุศล ๗
วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วันให้กับท่านตามประเพณี ระหว่างบำเพ็ญกุศล พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส ทุก
คราว สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายคณะสงฆ์ สรีระสังขารของ
ทั้งสององค์ สรีรสังขารของพระพรหมมุนี (ชิต) ซึ่งไม่มีอยู่ แต่ยังเก็บไว้บำเพ็ญกุศลอีก
ขณะบำเพ็ญกุศลอยู่ พระญาณวิสุทธิเถร (เจ้า) เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดพลับ
เพราะพระเทพโมลี(กลิ่น)ยังอาพาธอยู่ หลังจากพระเทพโมลี (กลิ่น)หายจากอาพาธแล้ว
จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม

พระครูสิทธิสังวร รวบรวม

 

 
 

๒. ประวัติพระเทพโมลี (กลิ่น)

 ประวัติพระเทพโมลี (กลิ่น)

 

00005

ประวัติพระเทพโมลี (กลิ่น)
(อดีตเจ้าอาวาส องค์ที่ ๓ )
พระเทพโมลี (กลิ่น) ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๓ รัชสมัย
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ ท่านบรรพชา-อุปสมบท วัดตองปุ อยุธยา สมัยพระเจ้าเอกทัศน์
เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ท่านพระมหาศรี พระขุน พระเทพโมลี ครั้งเป็นพระ
กลิ่น หลบภัยข้าศึก ล่องลงมาทางใต้ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ท่านและคณะกลับมาอยู่วัด
กลางนา(วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม)กรุงเทพฯ
ต่อมาทราบข่าวพระอาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ เป็นที่พระญาณสังวรเถร ทั้ง
สามท่านจึงตามมาอยู่วัดพลับ เรียนขอเล่าเรียน พระกรรมฐานมัชฌิมา แบลลำดับด้วย
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๘ พระมหากลิ่น และคณะ ทราบว่าพระ
อาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ ทรงเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐาน ท่าน และคณะซึ่งเป็นเชื้อ
สายรามัญ จึงได้เข้าไปกราบนมัสการขออนุญาต พระมหาสุเมธาจารย์เป็นเจ้าอาวาส วัด
กลางนา (วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม) ซึ่งเป็นพระสงฆ์นิกายรามัญ เพื่อมาศึกษาพระ
กรรมฐานในสำนักพระญาณสังวรเถร (สุก)
เมื่อได้รับอนุญาติแล้ว ท่านได้ร่วมเดินทางมากับ คณะของท่านพระอาจารย์มหา
ศรี พระขุน มาขึ้นพระกรรมฐานที่วัดพลับ กลับไปนั่งบำเพ็ญพระกรรมฐาน ที่วัดตองปุ
(ชนะสงคราม) มาแจ้งพระกรรมฐานที่วัดพลับ ไป-กลับดังนี้ คณะของท่านเห็นว่าไม่
สะดวก จึงขออนุญาต กราบลาเจ้าอาวาส วัดตองปุ (ชนะสงคราม) ขอมาอยู่วัดพลับเลย
ชั้นแรกนั้น พระญาณสังวรเถร (สุก) ทรงเห็นว่า พระมหากลิ่นยังมีจิตใจสับสน
วุ่นวายอยู่ระหว่าง การเจริญสมาธิ กับการศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ จิตใจของท่านจึง
สับสนลังเลอยู่ สมาธิไม่อาจตั้งได้
พระญาณสังวรเถร (สุก) พระองค์ท่านทรงทราบด้วย เจโตปริยะญาณ คือการ
กำหนดใจผู้อื่นได้ จึงยังไม่ให้ท่านเจริญภาวนาพระกรรมฐาน แต่ให้ท่านกลับไปตั้งสติ
เขียนอักขระขอมพระบาลีมูลกัจจายน์มาก่อน เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิดีแล้ว จึงจะให้มา
ศึกษาทางเจริญภาวนาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกับพระองค์ท่าน
กาลต่อมาเมื่อใจของท่านหายสับสนวุ่นวาย มีจิตใจมั่นคงสงบดีแล้ว ท่านก็ได้ขึ้น
พระกรรมฐาน กับพระญาณสังวรเถร (สุก) ขึ้นแล้วพระญาณสังวรเถร ให้ท่านไปแจ้ง
สอบอารมณ์พระกรรมฐาน กับพระพรหมมุนี(ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตรบ้าง กับพระ
ครูวินัยธรรมกันบ้าง ท่านศึกษาด้านภาวนาอยู่ประมาณสองปีเศษ ท่านก็จบสมถะ
วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ท่านได้เที่ยวออกสัญจรจาริกรุกขมูลครั้งแรก ไป
กับหมู่คณะสงฆ์วัดราชสิทธาราม ต่อมาท่านก็ธุดง แต่องค์เดียว
ต่อมาท่านได้ ไม้เถาอริยะ มาทำไม้เท้าเบิกไพร แผ่เมตตา แหวกทางเปิดทาง
ป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ เวลาออกสัญจรจาริกธุดงค์ ไม้เท้าเถาอริยะนี้ กาลต่อมาได้ตกทอด
มาถึง พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ปัจจุบันไม้เท้าเถาอริยะ
ของพระเทพโมลี (กลิ่น) เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธา
ราม
สมัยต่อมาท่านได้นำเอาประสพการณ์ การออกสัญจรจาริกธุดงค์ การเดินป่า มา
แต่งวรรณกรรม มหาเวศสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน จนมีชื่อเสียงโด่งดัง
ด้านการศึกษา พระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์นั้น เบื้องต้นท่านได้ศึกษา
กับพระมหาศรี (พระพุทธโฆษาจารย์) วัดราชสิทธาราม (พลับ) ต่อมาพระมหาศรี ย้ายไป
เป็นเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ กับพระสมุห์
ฮั่น เปรียญ (พระวินัยรักขิต) วัดราชสิทธาราม (พลับ) จนจบพระบาลีมูลกัจจายน์
เบื้องต้น ที่วัดราชสิทธาราม (พลับ)
ต่อมาพระสมุห์ฮั่น พระอาจารย์ของท่าน ได้ส่งท่านไปศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์
ชั้นสูงเพิ่มเติมต่อที่ วัดสลักหรือวัดมหาธาตุ กับพระพนรัต(ศุก) ต่อมาท่านได้เป็นเปรียญ
เอก ในรัชกาลที่ ๑
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เทศมหาชาติ ทรงให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนสุนทรภูเบศร์ รับ
กัณฑ์มหาพน โปรดเกล้าฯให้ มหากลิ่น เปรียญเอก วัดราชสิทธาราม สำแดง คัมภีร์เทศ
มหาพน ท่านรจนาเอง จารเอง และสำแดงเอง การแต่งนั้นท่านใช้พระคัมภีร์มหาเวศสัน
ดรชาดก จากต้นฉบับภาษาบาลี ของพระวินัยรักขิต (ฮั่น) พระอาจารย์ของท่านที่มอบให้
ถือเอาเป็นปฐมมงคลฤกษ์ ในการแต่งมหาพน เทศหน้าพระที่นั่ง
ปีต่อมาท่านได้รับ เทศกัณฑ์มหาพนอีก และท่านก็ได้ปรับปรุงแก้ไขเรื่อยมา ตาม
คำติชมของเจ้ากรมสังการี ซึ่งเป็นมหาเปรียญเก่า ถึง ๗ฉบับ ปัจจุบันต้นฉบับแก้ไข
ปรับปรุง คัมภีร์ใบลานเทศมหาพน ที่ท่านแต่งเอง จารเอง บางส่วน เก็บรักษาอยู่ที่
พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ท่านมีต้นฉบับกัณฑ์เทศมหาพน
หลายผูกหลายฉบับ เนื่องจากมีการปรับปรุงแก้ไขบ่อยครั้ง จึงเป็นที่เชื่อถือของราช
สำนัก ให้ท่านแต่งเทศมหาชาติกัณฑ์ทานกัณฑ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ และปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๕๘ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ เป็นพระคณาจารย์เอกฝ่ายคัน
ถะธุระ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๑ พระมหากลิ่นได้แต่ง คัมภีร์เวสสันดรชาดกขึ้น ๑๓
กัณฑ์ ต่อมาปี ๒๓๕๘ ทางราชการรับคัดเลือกของท่านไว้สองกัณฑ์คือ กัณท์ทานกัณฑ์
และกัณฑ์มหาพน โดยเฉพาะกัณฑ์ มหาพน ของพระเทพโมลี (กลิ่น) ต่อมามีชื่อเสียงมาก
ในปีนั้นเอง ประมาณเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ท่านได้คัดลอก คัมภีร์โยชนามูลกัจ
จายน์ ขึ้นอีก ๑๔ ผูกเขียนไว้ให้ พระภิกษุสามเณรได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนกันที่วัดราชสิทธา
ราม (พลับ) ปัจจุบันพระคัมภีร์นี้อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธา
ราม (พลับ)
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า
ฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่งมหาชาติคำหลวง ของพระบรมไตรโลกนาถ
แห่งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าหลังจากเสียกรุงแล้วมหาชาติคำหลวงได้สูญหายไป ๖
กัณฑ์คือ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัธทรี สักบรรพ ฉกษัตริย์ ปรากฏว่า พระมหา
กลิ่น ท่านได้แต่งเทศมหาชาติ คำฉันท์ ทานกัณฑ์ ท่านแต่งเชิงพรรณาโวหาร ดีเยี่ยม จะ
หาผู้ใดแต่งดีกว่าท่านนั้นยากเต็มที เพราะท่านแต่งใช้ถ้อยคำ ศัพท์แสง เข้ากับภาษาครั้ง
กรุงศรีอยุธยา ได้อย่างเหมาะเจาะหน้าพิศวง ทั้งในเชิงกวีก็ไพเราะไม่น้อย กัณฑ์ ของ
ท่านได้รับเลือก ตั้งแต่นั้นมา คนทั้งหลายก็นิยมนับถือว่าท่าน เป็นกวีสงฆ์ พระ
นักปราชญ์ องค์หนึ่งในต้นกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งเป็นกวีเอกสงฆ์ อีก
พระองค์หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์มหาชาติไว้ถึง ๑๐ กัณฑ์ แต่ไม่ทรงแต่ง
อยู่ ๓ กัณฑ์คือ มัธทรี ชูชก มหาพน ส่วนไม่ทรงแต่งกัณฑ์มหาพนนั้น รับสั่งว่า ถึงจะ
แต่งก็สู่ของ พระเทพโมลี (กลิ่น) ไม่ได้ เพราะของพระเทพโมลี (กลิ่น) มีลักษณะดี
พร้อม ทั้งเนื้อความ ทั้งคำ ทั้งเชิงกวี ความรู้ในด้านค้นคว้าเช่น อ้างราชสีห์มี ๔ จำพวก
ชนิดไหนมีลักษณะอย่างไร กินอาหารอย่างไร อากัปกิริยา เป็นเช่นไร หรือต้นไม้ชนิดใด
มีรส คุณวิเศษ อย่างไร อันเป็นประโยชน์ แก่ผู้ใช้สมุนไพร สำนวนพรรณาที่เรียกว่า
แหล่ เขา สระ นา ไม้ สัตว์ ก็ไพเราะเพราะพริ้งทราบซึ้งยิ่งนัก จึงทำให้นึกเห็นภาพ เกิด
ความเป็นจริง เกิดขึ้นในใจ อีกทั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงนับถือ พระเทพโมลี
(กลิ่น) ว่าเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่ง ของพระองค์ท่านด้วย
ตั้งแต่ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๘ ท่านแต่งคำภีร์
ไว้มากมายหลายร้อยคำภีร์ หลังจากปีพ.ศ. ๒๓๕๘ แล้ว ท่านก็บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ
อย่างเดียว ปราถนาซึ่งความหลุดพ้น ตามอย่างสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน และพระเถร
ผู้ใหญ่ในวัดราชสิทธาราม ในครั้งนั้น ท่านนับเป็นอริยบุคคล องค์หนึ่งในสมัยนั้น
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ วันพฤหัส เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ ปีชวด ในรัชกาลที่ ๒
พระมหากลิ่น ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายคันถธุระที่ พระ
รัตนมุนี เมื่ออายุได้ ๖๙ ปี เป็นปีที่ตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ วันพฤหัส เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะโรง ในสมัย
รัชกาลที่ ๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลี
พระคณาจารย์เอก ฝ่ายคันถธุระ เมื่ออายุได้ ๗๓ ปี เมื่อคราวสถาปนาสมเด็จ
พระสังฆราช ไก่เถื่อน มีราชทินนามปรากฏดังนี้
ให้พระรัตนมุนี เป็นพระเทพโมลี ศรีปิฏกธรา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม
คามวาสี สถิต ณ. วัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวง รับพระราชทานนิจพัจ ๔ ตำลึง มี
ถานานุศักดิ์ ควรตั้งถานานุกรมได้ ๔ รูป มีพระครูปลัด ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา
๑ พระครูสังฆวิชิต ๑
ครั้งตั้ง พระเทพโมลี (จี่) วัดประยูรวงศาวาส มีสร้อยราชทินนามว่า มหาคณฤศร
ทรงเปลี่ยนสร้อยราชทินนามเป็น มหาธรรมกถึกคณฤศร
ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีตำแหน่ง พระเทพโมฬี จัดเป็นตำแหน่งของ
พระสงฆ์ฝ่ายสมถะวิปัสสนา ครองวัดสมณโกฎ อยู่ในการปกครองบังคับบัญชาของ
พระพุฒาจารย์ เจ้าคณะกลางฝ่ายอรัญวาสี สถิตวัดโบสถ์ราชเดชะ
ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานวิชากาพย์
กลอนมาก ทั้งยังได้ทรงเลื่อมใสในพระเทพโมลี(กลิ่น) ถึงกับพระราชทานแท่นฝนหมึก
ขนาดใหญ่ให้กับท่าน ปัจจุบันแท่นฝนหมึกพระราชทาน เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระ
กรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พลับ)
เมื่อคราวปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพนฯ โปรดเกล้าฯให้ช่างรวบรวมตำรับตำรา
ของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ทั้งนักปราชญ์ฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส ทั้งที่สิ้นชีพตักษัยไปแล้ว
และที่ยังมีชีวิตอยู่ และโปรดเกล้าฯให้ประชุมกันแต่ง โคลง ฉันท์ กาพย์กลอน จารึกใส่
แผ่นศิลาประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ โดยในครั้งนั้นได้ทรง นำเอากวีนิพนธ์ ที่
พระเทพโมลี (กลิ่น) แต่ง เช่น โครงฤาษีดัดตน โคลงบาทกุญชร โคลงกลบท และ
บรรดาวรรณจิตรที่ท่านแต่ง ล้วนไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างยิ่ง จัดเป็นเอก ทั้งเชิง
กระบวนกลอน กระบวนความ ทางราชการได้นำเอากวีนิพนธ์ของท่านไปจารึก หลังจาก
ท่านได้มรณะภาพลงแล้ว
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ พระพรหมมุนี (ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตร ได้
มรณะภาพลง พระญาณวิสุทธิ์เถร (เจ้า) ได้รักษาการเจ้าอาวาส เนื่องจากพระเทพโมลี
(กลิ่น) ขณะนั้นยังอาพาธอยู่
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ ต่อปีพระพุทธศักราช. ๒๓๖๙ พระเทพโมลี(กลิ่น)
หายจากโรคาพาธ ท่านได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ท่าน
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามเวลานั้น ท่านก็ชราทุพพลภาพมากแล้ว เดินไป
มาข้างไหนก็ไม่ค่อยสะดวก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓ จึงทรง
พระราชทานแคร่คานหาม ให้เอาไว้ใช้ในเวลาเดินทางไปไหนมาไหน จะไปได้โดย
สดวก โดยเฉพาะใช้ในการไปลงทำสังฆกรรม เช่น ลงพระปาฎิโมกข์ เป็นต้น
ครั้งที่ท่านได้รับแต่งตั้งเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นที่ พระเทพโมลี และเป็นเจ้าอาวาส
แล้ว ก็มีบรรพชิต และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เลื่อมใสในเชิงกวีของท่าน มาสมัครเป็นลูก
ศิษย์ฝึกแต่งโคลงฉันท์ กาพย์กลอนกับท่าน และได้ช่วยกันทะนุบำรุงวัดราชสิทธาราม
(พลับ) ให้เจริญรุ่งเรือง จนท่านเป็นที่รู้จักกว้างขวางในวงศ์ เจ้านาย และข้าราชการ
ผู้ใหญ่ ผู้น้อย เป็นอย่างดี
การศึกษาสมัย พระเทพโมลี (กลิ่น) ครองวัดราชสิทธาราม
การศึกษาด้านพระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์ พระเทพโมลี (กลิ่น) เป็น
พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระปิฏกโกศลเถร (แก้ว) ๑ พระมหาทัด ๑ พระ
มหาเกิด ๑
ด้านการศึกษาพระวิปัสสนาธุระมี พระครูวินัยธรรมกัน สัทธิวิหาริกของสมเด็จ
พระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์มหาทัด ๑เป็นผู้ช่วย เมื่อพระครู
วินัยธรรมกัน มรณะภาพลงแล้ว พระญาณสังวรเถร (ด้วง) รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์
ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์คำ พระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) พระครูศีลสมาจารย์
(บุญ) พระปลัดมี พระปลัดเมฆ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ ท่านครองวัดราชสิทธาราม (พลับ)มาประมาณ ๑ ปี
ท่านก็มรณะภาพลงในปลายปีนั้นด้วยโรคชรา เมื่อสิริอายุได้ ๘๖ ปี สมัยท่านครองวัด
ราชสิทธาราม ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียง ผู้คนนับถือมาก ท่านเป็นพระสงฆ์นักปราชญ์องค์
ต้นๆของกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากพระเทพโมลี (กลิ่น) ได้มรณะภาพลงแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชคำริว่า บทกวีนิพนธ์ต่างๆ ของ
พระเทพโมลี(กลิ่น)นั้น ต่อไปจะกระจัดกระจายสูญหาย หายาก จึงโปรดเกล้าฯให้
เจ้ากรมอาลักษณ์เก็บรวบรวม บทกวีนิพนธ์ต่างๆของท่านไว้ เมื่อถึงคราวปฏิสังขรณ์ วัด
พระเชตุพนฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงให้รวบรวมนักปราชญ์ ราช
บัณฑิตย์ แต่งบทกวีนิพนธ์ต่างๆ โปรดให้ช่างจารึกลงแผ่นศิลาไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ ใน
ครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯให้นำเอาบทกวีนิพนธ์ต่างๆ ของพระเทพโมลี (กลิ่น) จารึกลง
แผ่นศิลาไว้ด้วย
แคร่คานหาม ที่ได้พระราชทานให้ พระเทพโมลี (กลิ่น)ในครั้งนั้น ก็ได้เก็บรักษา
ไว้ที่วัดราชสิทธาราม พร้อมด้วยไม้เท้าเถาอริยะ ไม่มีผู้ใดกล้านำเอามาใช้เพราะเป็นของ
พระราชทานสงฆ์เฉพาะองค์ จนกระทั้ง ๘๐ ปีเศษผ่านมา ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๐
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ก็ได้พระราชทาน แคร่คานหาม ที่
เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธารามให้แก่ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ได้ใช้สืบมาเป็นองค์ที่
สอง เพราะเวลานั้นพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านชราทุพพลภาพ ปัจจุบันแคร่คาน
หามนี้ ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม
ผลงานของพระเทพโมลีกลิ่น
๑. ร่ายยาวมหาเวศสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน แต่งประมาณ พ.ศ.๒๓๕๐
๒. คัมภีร์โยชนามูลกัจจายณ์ แต่ง พ.ศ. ๒๓๕๑
๓. มหาชาติ คำหลวง ทานกัณฑ์ แต่งพ.ศ. ๒๓๕๘
๔. โครงนิราศ ตลาดเกรียบ
๕. โครงกระทู้เบ็ดเตล็ด
๖. โครงฤาษีดัดตน
๗.โครงบาทกุญชร
๘. โครงกลบท
๙.โครงลวงผึ้ง

 

 
 

๓. ประวัติพระปิฏกโกศลเถร (แก้ว)

 ประวัติพระปิฏกโกศลเถร (แก้ว)

00007

ประวัติพระปิฏกโกศลเถร (แก้ว)
พระปิฏกโกศลเถร หรือพระอาจารย์แก้ว ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช
๒๒๘๔ - ๒๒๘๕ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ท่านเกิดที่เมืองพิจิตร พระอาจารย์
สุก พบท่านอยู่ในเพศปะขาว ถือศีลภาวนา อยู่ที่วัดสิงห์ เมืองพิจิตร การพบครั้งนั้นอยู่
ประมาณ ปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาประมาณ ปลายสมัยอยุธยา ต่อกับสมัยต้นธนบุรี ท่านปะขาวแก้ว ได้
บรรพชา-อุปสมบท ณ วัดสิงห์ เมืองพิจิตรนั้นเอง ท่านอุปสมบทแล้ว นึกถึงพระอาจารย์
สุก และเลื่อมใสในพระอาจารย์สุก ท่านรำลึกนึกถึงอยู่ตลอดเวลา
สมัยต้นธนบุรีประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๑ ท่านได้ทราบข่าว พระอาจารย์
สุก มาสถิตวัดท่าหอย ท่านจึงจาริกตามมาอยู่กับพระอาจารย์สุก ณ วัดท่าหอย การมา
ครั้งนั้นท่านมากับเพื่อนสหธรรมิก ๒-๓ องค์ ซึ่งต่อมาเพื่อนสหธรรมิกของท่านได้แยก
ย้ายกันไป ตามสถานที่ต่างๆ
พระอาจารย์แก้ว เมื่อมาสถิตวัดท่าหอยแล้ว ท่านได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา
แบบลำดับ กับพระอาจารย์สุก ภายในระยะเวลาเพียง ๖ เดือนเท่านั้น ท่านก็จบสมถะ-
วิปัสสนามัชฌิมา แบบลำดับ
กลางวันท่านเล่าเรียน พระบาลีมูลกัจจายน์ เบื้องต้นกับ พระอาจารย์สุก ต่อมา
พระอาจารย์สุก ส่งพระอาจารย์แก้ว กับพระอาจารย์ด้วง มาศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์
ชั้นสูง ต่อที่กรุงธนบุรี ณ วัดสลัก กับพระศรีสมโพธิ์(ศุก) ต่อมาเมื่อกรุงธนบุรีเกิดการ
จลาจลวุ่นวาย ท่านก็ออกสัญจรจาริกธุดงค์ หนีความวุ่นวายเข้าป่าไป พร้อมกับเพื่อน
สหธรรมิกคือ พระอาจารย์ด้วง (พระญาณสังวร) ไปอยู่ป่า อันเงียบสงบ แขวงเมือง
อุตรดิตถ์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๐ ท่านทราบข่าวว่าพระอาจารย์สุก มากรุงเทพฯ เป็น
พระราชาคณะที่ พระญาณสังวรเถร(สุก) สถิตวัดพลับ ท่านจึงเดินทางจาริกออกมาจาก
ป่า แขวงเมืองอุตรดิตถ์ ท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ด้วง มากราบนมัสการพระญาณ
สังวรเถร (สุก) มาสถิตวัดพลับ เพื่อศึกษารายละเอียดพระกรรมฐานมัชฌิมา เพิ่มเติม
กับพระญาณสังวรเถร (สุก)
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ เป็น พระครูวินัยธร ถานานุกรม ของสมเด็จพระ
ญาณสังวร (สุก) และได้รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์บอกหนังสือพระบาลีมูลกัจจายน์ด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ วันพฤหัส เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะโรง ได้รับ
พระราชทานแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระปิฏกโกศลเถร เมื่ออายุ
ท่านได้ ๗๙ ปี เป็นปีที่สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวรเถร(สุก) เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ เป็นคณะกรรมการเข้าควบคุมการสอบสมาธิจิตทำ
การสังคายนา พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ เป็นพระ
อาจารย์ผู้ช่วยบอกหนังสือ พระบาลีมูลกัจจายน์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ต่อมาเป็นเจ้า
อาวาสวัดราชสิทธาราม นิตยภัตเดิม ๒ ตำลึงกึ่ง เพิ่มอีกกึ่งตำลึง (๒ บาท) เป็น ๓ ตำลึง
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม และประมาณ
ปลายปี ได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพ อดีตมหาเถรผู้ใหญ่ของวัดราชสิทธิ์ทั้งเจ็ดองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้าง
เมรุโคลงไม้ขึงด้วยผ้าขาว ประดับด้วยกระดาษทอง กระดาษเงิน แขวนพวงดอกไม้ห้อย
ระย้า การทำเมรุครั้งนี้ทำใหญ่กว่าเมรุทั่วไป เพราะต้องตั้งพระสรีระสังขารพระมหาเถร
ถึงเจ็ดองค์ พร้อมพระราชทานพระโกศสำหรับพระพรหมมุนี (ชิต) และทรงน้อมสักการ
ถวายอีกหกองค์ด้วยในโกศเดียวกันนี้ พระสงฆ์คันถะธุระวิปัสสนาธุระ นั่งล้อมเมรุเป็น
หลายชั้น ถึงเวลาเสด็จพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นองค์
ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระมหาเถรานุเถระทั้งปวง
การศึกษา สมัยพระปิฏกโกศล (แก้ว) ครองวัด
ด้านการศึกษาวิปัสสนาธุระมี พระญาณสังวรเถร (ด้วง) เป็นพระอาจารย์ใหญ่
พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) ๑ พระครูศีลสมาจารย์ (บุญ) ๑ ฯ เป็นต้น
ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมี พระปิฏกโกศล (แก้ว) เป็นพระอาจารย์ใหญ่
พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มหาทัด ๑ พระอาจารย์มหาเกิด ๑ พระอาจารย์มหาเกษ๑
พระปิฎกโกศลเถร (แก้ว) เป็นเจ้าอาวาสได้ประมาณ ๑ ปีเศษ ก็
อาพาธด้วยโรคชรา และมรณะภาพลงเมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๗ ปีเศษ

 
 

๔. ประวัติพระญาณสังวร (ด้วง)

 ประวัติพระญาณสังวร (ด้วง)

00001

ประวัติพระญาณสังวร (ด้วง)
(ตัดคำว่า เถร ออก เพราะต่อมาคำรงตำแหน่งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทิน
นามเดิม เทียบเท่าตำแหน่ง พระพุฒาจารย์)
พระญาณสังวร หรือพระอาจารย์ด้วง ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช
๒๒๘๙ - ๒๒๙๐ ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ท่านบรรพชา-
อุปสมบท ประมาณปลายกรุงศรีอยุธยา ที่วัดน้อยใน แขวงกรุงเก่า ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์
อุปสมบทแล้วไม่นาน บ้านเมืองไม่สงบ ท่านจึงจาริกออกไปจำพรรษา ณ วัดป่า
แขวงอุตรดิตถ์ พระอาจารย์ด้วง พบพระอาจารย์สุก ที่ป่าลึก แขวงเมืองพิษณุโลก สมัย
เริ่มต้นธนบุรี
พระอาจารย์ด้วง เกิด ความเลื่อมใสในปฏิปทาอันงาม ของพระอาจารย์สุก จึง
ติดตามพระองค์ท่านมาอยู่ที่วัดท่าหอย ประมาณต้นปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๑ ท่าน
เดินทางสัญจรจาริกมาพร้อมเพื่อนสหธรรมิก ๓-๔ องค์ แต่ได้แยกย้ายกันระหว่างทาง
พระอาจารย์ด้วง ท่านมาสถิตวัดท่าหอยแล้ว ท่านได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา
แบบลำดับ กับพระอาจารย์สุก อยู่นานประมาณ ๕ เดือนจึงจบ ทั้งสมถะ-วิปัสสนา
มัชฌิมา แบบลำดับ
ต่อมาพระอาจารย์ด้วง ท่านได้เล่าเรียนศึกษา พระบาลีมูลกัจจายน์ หรือพระบาลี
ใหญ่ กับพระอาจารย์สุก จนสิ้นความรู้พระบาลีเบื้องต้นจากพระอาจารย์สุก ต่อมาพระ
อาจารย์สุก ส่งพระอาจารย์ด้วง พร้อมกับพระอาจารย์แก้ว มาศึกษาพระบาลีชั้นสูง ต่อที่
กรุงธนบุรี ณ วัดสลัก กับพระศรีสมโพธ์ (ศุก)
ต่อมาภายหลัง ประมาณปลายรัชสมัยธนบุรี เกิดมีการจราจลวุ่นวาย พระ
อาจารย์ด้วง และพระอาจารย์แก้ว จึงออกสัญจรจาริกธุดงค์ หนีการจราจลวุ่นวาย ออก
เดินทางไปทางเหนือ จำศีลภาวนาอยู่ ณ ป่าลึก แขวงเมืองอุตรดิตถ์
ปีพระพุทธศักราช. ๒๓๓๐ ท่านทราบข่าวว่า พระอาจารย์สุก หรือพระญาณ
สังวรเถร (สุก) พระอาจารย์ใหญ่ มาสถิต ณ.วัดพลับ จึงเดินทางจาริก ออกมาจากวัดป่า
แขวงเมืองอุตรดิตถ์ มาวัดพลับ มาครั้งนั้นท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์แก้ว มากราบ
นมัสการพระอาจารย์สุก พร้อมกับมาขอศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ต่อกับ
พระญาณสังวรเถร (สุก) กาลต่อมาพระญาณสังวรเถร (สุก) แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระ
อาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในรุ่นแรกๆของวัดพลับ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นพระครูปลัด ว่าที่ถานานุ
กรมชั้นที่หนึ่ง ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ ณ. วันพฤหัส เดือนอ้าย ขึ้น ๙
ค่ำ ปีมะโรง โทศก ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่พระญาณสังวรเถร พระคณาจารย์เอก เมื่ออายุได้ ๗๓ ปี นิตย์ภัต ๒ ตำลึงกึ่ง รับพระราชทานพัดงาสาน สมัยที่ท่านดำรงชีวิตอยู่ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง ผู้คนนับ ถือเคารพยำเกรงมาก
กล่าวว่า ท่านมีความประพฤติ วัตรปฏิบัติงดงาม ทรงคุณธรรมสูงอย่าง
บูรพาจารย์ มีสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เป็นต้น
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ ท่านได้รับอาราธนาจาก พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๒ ให้เข้าร่วมเป็นพระคณะกรรมการ เข้าควบคุมการสอบสมาธิจิต
ในการทำสังคายนาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็น
ครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ ประมาณปลายปี เป็นคณะกรรมการ หล่อพระรูป
สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ พระญาณสังวรเถร (ด้วง) นิตยภัตเดิม ๒ ตำลึงกึ่ง
ได้รับพระราชทานนิตยภัต เพิ่มอีกกึ่งตำลึง เป็น ๓ ตำลึง ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
การศึกษาสมัยท่านครองวัดราชสิทธาราม
ด้านการศึกษาวิปัสสนาธุระ พระญาณสังวรเถร (ด้วง) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระ
อาจารย์ผู้ช่วยคือ พระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) ๑ พระครูศีลสมาจารย์ (บุญ) ๑ พระอาจารย์มี ๑
พระอาจารย์เมฆ ๑
ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี พระมหาทัด เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระ
อาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มหาเกิด ๑ พระอาจารย์มหาเกด ๑
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ ต้นปี ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มเป็น ๔ ตำลึงกึง
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ กลางปีพระญาณสังวรเถร (ด้วง) ได้รับพระราชทาน
เลื่อนสมณศักด์ิเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร (ตัดคำว่า
เถร ออก) ได้รับพระราชทานนิตยภัตเป็น ๕ ตำลึง สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์
ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ว่างมาแล้ว ๗ ปี มีสร้อยนามดังนี้

สำเนา แต่งตั้งให้พระญาณสังวรเถรเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศิลอนันต์ อรัญวาสี สถิตในวัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
พระราชทานพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ให้พระญาณสังวร (ด้วง)
อีก ๑ ด้าม พระราชทานพัดงาสาน ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๑ ด้าม
เวลานั้นพระญาณสังวร (ด้วง) ท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า พระมหาเถรผู้ใหญ่ทั้ง
ปวงในสมัยนั้น โดยเฉพาะท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เมื่อมี
กิจนิมนต์ในพระบรมมหาพระราชวัง พระญาณสังวร(ด้วง) นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช
(ด่อน) สมัยนั้นพระสงฆ์เคารพพรรษา เคารพพระวินัย เคารพคุณธรรมเป็นอย่างยิ่ง
พระญาณสังวร (ด้วง) ท่านเป็นสัทธิวิหาริก เป็นศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน และเป็นอาจารย์ของสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เวลา
นั้นยังไม่ ทรงยกเลิกธรรมเนียมอาวุโสทางพรรษา
อธิบาย ตำแหน่งพระญาณสังวรเถร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ทรงแต่งตั้งเมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๒๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ทรงอาราธนาพระ
อาจารย์สุก มากรุงเทพ ทรงแต่งตั้งเป็น พระญาณสังวรเถร เจ้าคณะรองอรัญวาสี ต่อมา
เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เมื่อคราวสถาปนาเป็นสมเด็จราชาคณะ ส่วนเจ้าคณะรอง
อรัญวาสีเดิม คือพระญาณไตรโลก อยู่วัดเลียบ เลื่อนเป็นที่พระพรหมมุนี ในรัชกาลที่ ๑
ตำแหน่งพระญาณไตรโลกจึงว่างลง
อนึ่ง หลวงธรรมรักษา เจ้ากรมสังการีขวา ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นอดีตพระพิมล
ธรรม มาก่อนนั้น ต้องสึกครั้งแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ว่าต้องอธิกรอทินนาทาน ทรง
แคลงพระราชหฤทัยอยู่ จึงทรงให้พิจารณาไล่เลียงดูใหม่แล้ว ทรงเห็นว่าบริสุทธิ์อยู่หา
ขาดสิกขาไม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บวชเข้ามาใหม่ ให้เป็นพระญาณไตรโลก
อยู่วัดสลัก (วัดมหาธาตุ) แต่นั้นมาตำแหน่ง พระญาณไตรโลก ก็เป็นตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ,จากหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด สมุดไทยดำ เล่มที่ ๑๐ เลขที่ ๒ ง. ๒๘ ว่า
พระพิมลธรรม ๑ พระธรรมอุดม ๑ พระญาณสังวร ๑ พระมหาสุเมธ ๑ พระพุทธโฆษา

๑ พระพรหมมุนี ๑ พระธรรมเจดีย์ ๑ พระธรรมไตรโลก ๑ พระธรรมราชา ๑ ราชาคณะ
ผู้ใหญ่ ๙ องค์นี้ ถึงแก่มรณะภาพเข้าโกศ
ตำแหน่งพระญาณสังวร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี วัดราชสิทธาราม (พลับ) เมื่อ
มรณะภาพเข้าโกศมี ๔ องค์คือ
๑.พระญาณสังวรเถร (สุก) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๒๖ เป็นเจ้าคณะรองอรัญวาสี
พ.ศ. ๒๓๕๙ สถาปนาเป็นสมเด็จราชาคณะ ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๒ พระราชทานพระโกศทองใหญ่
๒.พระญาณสังวรเถร (ด้วง) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๖๓ ตำแหน่งเจ้าคณะรอง
อรัญวาสี ต่อมาพ.ศ. ๒๓๖๙ เลื่อนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิมที่ พระ
ญาณสังวร สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ดำรงค์ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
มรณะภาพในรัชกาลที่ ๓ พระราชทานโกศเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
๓.พระญาณสังวรเถรเถร (บุญ) ทรงแต่งตั้งพ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นเจ้าคณะรอง
อรัญวาสี ปีนั้นทรงแต่งตั้งพระพรหมมุนี (สนธ์)วัดสระเกศ เป็นพระพุฒาจารย์ด้วย พ.ศ.๒๓๘๘ พระญาณสังวรเถร (บุญ) เลื่อนที่เป็นราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทินนามเดิมที่ พระ
ญาณสังวร เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ให้พระพุฒาจารย์ (สน) เป็นเจ้าคณะใหญ่
อรัญวาสี กิตติมาศักดิ์ พระญาณสังวร (บุญ)มรณะภาพในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานโกศ
เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
สิ่งที่พระญาณสังวร (เถร) ทรงเหมือน และเหมือนกันคือ
๑.ได้รับพระราชทานพัดสองด้ามคือ พัดงาสานฝ่ายวิปัสสนาธุระ๑ พัดแฉกทรง
พุ่มข้าวบิณฑ์ สำหรับตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ๑ แต่ต่างชั้นกัน
๒.นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากทั้งสามท่านมีพรรษายุกาลมากกว่า
สมเด็จพระสังฆราชถึง ๑๕ พรรษา คณะสงฆ์ราชาคณะสมัยรัชกาลที่ ๑-๒-๓ ถืออาวุโส
ทางพรรษาตามพระธรรมวินัยมาก่อนอาวุโสทางสมณศักดิ์ เรื่องนี้ถกเถียงกันมานาน มา
เปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯถืออาวุโสทางสมณศักดิ์
๓.เป็นรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน เป็นพระอาจารย์กรรมฐานของ สมเด็จพระสังฆราช
พระเถรผู้ใหญ่ และได้การยอมรับนับถือจากพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ วงศ์
การคณะสงฆ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยว่า เป็นผู้ทรงคุณธรรมสูง ทรงคุณวิเศษใน
พระพุทธศาสนา
สมเด็จพระญาณสังวร (สุก)ไก่เถื่อน ทรงนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช (มี)
พระญาณสังวร (ด้วง) นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)

พระญาณสังวร (บุญ) นั่งหน้าสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ต่อมาถึงรัช
สมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงยกเลิก ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ให้คำรง ตำแหน่งสกลมหา
สังฆปริณายก แทน
เหตุที่ พระญาณสังวร (บุญ) นั่งหน้าพระเถรผู้ใหญ่ทั้งปวงเวลานั้นเพราะท่าน
มีพรรษายุกาลมากกว่าพระเถรทั้งปวงถึง ๑๐ กว่าพรรษา
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๙ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) วัดราชบูรณะ
ได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ขณะมีพระชนมายุได้ ๘๕ พรรษา ทรง
ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ๓ ปี ต่อมาทรงชราทุพพลภาพ ไม่สามารถปฏิบัติ
หน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงทำหน้าที่แทนสมเด็จ
พระสังฆราช อยู่ ๓ ปี
พระญาณสังวร (บุญ เกิด พ.ศ.๒๓๑๗) นั่งหน้ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส (ประสูติ
๒๓๓๓) เพราะมีชนมายุพรรษามากกว่า กรมหมื่นนุชิตชิโนรสถึง ๑๖ พรรษา ต่อมาปี
พระพุทธศักราช ๒๓๙๒ สมเด็จพระสังฆราช(นาค) วัดราชบูรณะ และสมเด็จพระพน
รัตน์ (ฤกษ์)วัดระฆัง มรณะภาพลง ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตำแหน่งสมเด็จพระ
พนรัตนว่างลง เวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ยังไม่ทรงสถาปนา
ทรงปล่อยว่างไว้ทั้งสองตำแหน่ง เป็นเวลาถึงสองปี ทรงมาสถาปนาในรัชกาลที่ ๔
รวมทั้งตำแหน่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ว่างเช่นกัน เวลานั้น
คงมีแต่ ตำแหน่งพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลก พระพุฒาจารย์ (สนธิ์) วัดสระ
เกศ
ครั้งนั้น พระญาณสังวร (บุญ) ท่านเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ในราชทินนามเดิม
จึงมีพรรษายุกาลมากที่สุด จึงนั่งหน้าพระมหาเถรทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้นั่งหน้าสมเด็จ
พระสังฆราช (นาค) เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราช (นาค)มีพรรษามากกว่าพระญาณ
สังวร (บุญ) ถึง ๑๖ พรรษา แต่พระญาณสังวร (บุญ) ท่านนั่งหน้ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส

ต่อมาปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๔ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯได้ทำพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯเป็น กรมสมเด็จ
พระปรมานุชิตชิโนรส ตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก แทนตำแหน่งสมเด็จ
พระสังฆราช เดิม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้ง ตำแหน่งพระราชาคณะ
ผู้ใหญ่ ที่ว่างอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่๓ ดังนี้………..
ให้พระธรรมอุดม (เซ่ง) วัดอรุณราชวราราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จ
พระวันรัต
ให้พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลก เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จ
พระพุทธโฆษาจารย์ โปรดเกล้าฯให้ย้ายไปครองวัดมหาธาตุฯ
ให้พระพุฒาจารย์ (สนธิ์) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระ
พุฒาจารย์
ครั้งนั้นพระญาณสังวร (บุญ) ยังคงนั่งหน้าพระมหาเถรทั้งปวง เพราะเป็น
พระราชาคณะผู้ใหญ่ที่มีพรรษาสูงกว่าพระมหาเถรทั้งปวง
สมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๒ พระองค์ สมเด็จสกลมหาสังฆปริณายก ๑ องค์ คือ
สมเด็จพระสังฆราช (มี) สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) และกรมสมเด็จพระปรมานุชิต
ชิโนรส สกลมหาสังฆปริณายก ล้วนทรงเป็นศิษย์เสด็จมาทรงศึกษาพระกรรมฐาน
มัชฌิมา แบบลำดับ ในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ในครั้งนั้นพระญาณ
สังวร (ด้วง) พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐาน
ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสฯ
ยังได้ทรงมาต่อพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวร (ด้วง) พระญาณ
สังวร (บุญ) เนืองๆก่อน และหลังสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช และสกลมหาสังฆป
รินายก
๔.พระญาณสังวรทั้งสามพระองค์ ได้รับพระราชทานพระโกศ และโกศ จากพระ
เจ้าแผ่นดิน แต่โกศนั้นต่างชั้นกัน ตำแหน่งพระญาณสังวร สุนทรสังฆเถราฯ เจ้าคณะ
ใหญ่อรัญวาสี เมื่อมรณะภาพเข้าโกศ
สมัยรัชกาลที่๔ ทรงแต่งตั้งตำแหน่ง พระสังวรานุวงศ์เถร แทนตำแหน่ง พระ
ญาณสังวรเถร ชั้นสามัญเดิม ตำแหน่งพระญาณสังวรเถรเดิมนั้น ต่อมาในรัชกาลที่ ๓
ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ สูงกว่าตำแหน่ง พระพุฒาจารย์
ทำเนียบการสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ และการแต่งตั้งพระราชาคณะ
ฝ่ายวิปัสสนาธุระในราชทินนามที่ พระญาณสังวร (เถร)
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑
๑.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๖ ทรงแต่งตั้งเป็นราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่พระ
ญาณสังวรเถร (สุก)
สถิตวัดราชสิทธาราม เจ้าคณะรองอรัญวาสี
๒.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๘ โปรดเกล้าฯแต่งตั้ง เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่
พระญาณสังวร
๓.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ สถาปนาพระญาณสังวรเป็น สมเด็จพระญาณ
สังวร อดิศรสังฆเถรา
สัตตวิสุทธิจริยา ปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี ดำรง
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
๔.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก)เป็น
สมเด็จพระสังฆราช เมื่อสิ้นพระชนม์ ลงพระราชทานพระโกศทองใหญ่
รัชกาลที่ ๒
๑.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ ทรงแต่งตั้ง พระญาณสังวรเถร (ด้วง) วัดราช
สิทธาราม เจ้าคณะอรัญวาสี
๒.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ ทรงแต่งตั้งพระญาณสังวรเถร (ด้วง)เป็นพระราชา
คณะผู้ใหญ่
เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร มีสร้อยราชทินนามดังนี้
พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดม
ศีลอนันต์ อรัญวาสี สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์เดิม ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ (เป้า)เดิม
เลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เป้า) ไปครองวัดธรรมาวาส
แขวงกรุงเก่า ในรัชกาลที่ ๒
พระญาณสังวร (ด้วง) เมื่อมรณะภาพ ทรงพระราชทานโกศ เจ้าคณะใหญ่
อรัญวาสี
พระญาณสังวร (ด้วง) บรรพชาอุปสมบท และศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา
แบบลำดับ กับสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ครั้งเป็นพระอธิการ อยู่วัดท่าหอย
ต่อมาย้ายมาอยู่วัดราชสิทธาราม (พลับ)
รัชกาลที่ ๓
๑.ปีพระพุทธศักราช. ๒๓๘๖ ทรงแต่งตั้ง พระญาณสังวรเถร (บุญ) เจ้าคณะ
อรัญวาสี วัดราชสิทธิ์
๒.ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๘ เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
ในราชทินนามเดิมที่ พระญาณสังวร มีสร้อยราชทินนามดังนี้………
พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหา
อุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี
สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์เดิม ตำแหน่งพระพุฒาจารย์ (สนธิ์)เดิม เลื่อน
เป็นสมเด็จราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนธิ์) ครองวัดสระเกศ ในรัชกาลที่ ๔
เป็นพระราชาคณะฤกษ์
พระญาณสังวร (บุญ) บรรพชาอุปสมบท ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบ
ลำดับ กับพระญาณสังวรเถร (สุก ไก่เถื่อน )ที่วัดราชสิทธาราม (พลับ) เมื่อมรณะภาพ
ทรงพระราชทานโกศ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
รัชกาลที่ ๔
๑.พระญาณสังวร (บุญ) มีชีวิตอยู่มาถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ มรณะภาพเมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๙๗
ต่อมาถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ก็ไม่ทรงโปรด แต่งตั้งตำแหน่งพระญาณสังวร อีก
ตำแหน่ง พระญาณสังวร (เถร) จึงว่างลงในรัชกาลนี้ เหตุที่ว่างเพราะ ในรัชสมัย
รัชกาลที่ ๓ ตำแหน่งพระญาณสังวร (เถร) ถูกยกขึ้นเป็นตำแหน่งพระราชาคณะชั้น
ผู้ใหญ่ สูงกว่าตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ตำแหน่งพระญาณสังวร จึงว่างลงในรัชกาลนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ทรงทรงตั้งมหาเป้า เป็นพระพุฒา
จารย์ ต่อมาพ.ศ. ๒๓๖๓ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เลื่อนพระพุฒาจารย์ (เป้า) เป็นสมเด็จ
พระพุฒาจารย์ โปรดเกล้าฯให้ไปครองวัดธรรมาวาส กรุงเก่า สมเด็จพระพุฒาจารย์
(เป้า)มรณะภาพในต้นรัชกาลที่๓ ตำแหน่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงว่างลงถึง ๑๗ ปี
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๖๗-พ.ศ. ๒๓๘๕
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ ในรัชกาลที่ ๔ จึงทรงแต่งตั้ง ตำแหน่งพระราชาคณะ
ที่ พระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) แทนตำแหน่ง พระญาณสังวรเถรเดิม พระสังวรานุวงศ์เถร
หมายความว่า วงศ์ผู้สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราช
ไก่เถื่อน
พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ท่านบรรพชาอุปสมบท ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเถร (สุก ไก่เถื่อน) อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
ท่านมีอายุอยู่ยาวนานถึง ๑๐๖ ปี มรณะภาพลงในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีพระพุทธศักราช
๒๓๒๙
รัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงรื้อฟื้น ตำแหน่งพระญาณสังวร
เถร ขึ้นมาใหม่ ทรงแต่งตั้งให้เป็นชั้นสามัญตามเดิม เหตุที่ไม่ทรงตั้งที่วัดพลับ เพราะ
เวลานั้นที่วัดพลับมี ตำแหน่งพระสังวรานุวงศ์เถร แทนตำแหน่งพระญาณสังวรเถรอยู่
แล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ พระครูวินยานุบุรณาจารย์ (ช้าง) วัด
โปรดเกษเชฏฐาราม เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณสังวรเถร (ช้าง)
เนื่องจากพระครูวินยานุบุรณาจารย์ (ช้าง) บรรพชาอุปสมบทอยู่วัดพลับ ศึกษา
อักขรสมัย และศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับอยู่วัดพลับ มากับพระญาณสังวร
(บุญ)วัดพลับ
พระปลัดช้าง ศึกษาพระกรรมฐานรุ่นเดียวกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัด
พลับ ต่อมาประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๑๐ ในรัชกาลที่๔ พระปลัดช้าง ย้ายไปวัด
โปรดเกษเชฏฐาราม พระปลัดช้าง ท่านเป็นเชื้อสายพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
ของพระญาณสังวร (บุญ) วัดพลับ
ต้นปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๒ พระปลัดช้าง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น
พระครูวิปัสสนาธุระที่ พระครูวินยานุบุรณาจารย์
กลางปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๒ ทรงแต่งตั้งพระครูวินยานุบุรณาจารย์ (ช้าง)
เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณสังวรเถร (ช้าง) เจ้าคณะอรัญวาสีหัว
เมือง วัดโปรดเกษเชฎฐาราม เมืองนครเขื่อนขันธ์ เมื่อถึงแก่มรณะภาพลง ทรง
พระราชทานหีบทองทึบ
 (จากหอจดหมายเหตุ เลขที่ ๒๗ เรื่องพระญาณสังวรเถรมรณะภาพ ร.ศ ๑๑๙
หน้า ๑ ๓/๙๕ รหัสไมโครฟิลม์ มร. ๕.ศ /๓๒)
รัชกาลที่ ๖-๗-๘
ตำแหน่งพระญาณสังวรเถร ว่างลง เนื่องจากเวลานั้นวัดพลับ มีตำแหน่งพระสังว
รานุวงศ์เถร แทนตำแหน่ง พระญาณสังวรเถร อยู่แล้ว ตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่ ๗ ที่๘
วัดพลับมี ตำแหน่งพระสังวรานุวงศ์เถรอยู่ถึง ๓ พระองค์คือ พระสังวรานุวงศ์
เถร (เอี่ยม) พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) พระสังวรานุวงศ์เถร (สอน)ๆ เป็นองค์สุดท้ายใน
รัชกาลที่ ๙ พระสังวรานุวงศ์เถร (สอน) มรณะภาพลง ในขณะที่คำรงตำแหน่งชั้นราช
ในราชทินนามที่ พระสังวรานุวงศ์เถรเมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๕๐๐ พระสังวรานุวงศ์
ทั้งสามองค์มีตำแหน่งเสมอชั้นราช ในกาลต่อมา
รัชกาลที่ ๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทรงรื้อ
ฟื้น ตำแหน่งพระญาณสังวร ขึ้นมาใหม่ ทรงสถาปนาขึ้นในชั้นของ สมเด็จพระราชา
คณะ
ปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๕ ทรงสถาปนาพระศาสนโสภณ (เจริญ) วัดบวรนิเวศ
วิหาร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริสรธรรม ตรีปิฏกป
ริยัติธาดา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ อุดมศีลจารวัตรสุนทร ธรรมยุติกคณิสร บวรสังฆาราม
คามวาสี อรัญวาสี
ปัจจุบันสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ) ทรงดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชฯ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๑ สมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์ ขอพระราชทานรา
ชานุญาติ จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว ขอพระญาณสังวร (ด้วง) วัดราช
สิทธาราม ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดประยูร รูปแรก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดเกล้าฯให้พระญาณสังวร (ด้วง) ย้ายไป
เป็นเจ้าอาวาสวัดประยูร ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดประยูรได้ระยะหนึ่ง พระปิฏก
โกศลเถร (แก้ว) เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ได้ถึงแก่มรณภาพลง พระญาณสังวร (ด้วง)
จึงย้ายกลับมาเป็น เจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม เพื่อดูแล พระกรรมฐาน
เพราะวัดราชสิทธารามเป็นวัดกรรมฐาน ประจำกรุงรัตนโกสินทร์ ต้องมีพระ
อาจารย์กรรมฐาน เป็นผู้สามารถ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๓–๒๓๗๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว
ทรงให้สถาปนาพระสถูปเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พร้อมเจดีย์เล็ก ล้อมเป็นบริวาร ๔ ทิศ
ไว้ที่หน้าพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ เพื่อบรรจุ พระอัฏฐิธาตุ ของสมเด็จพระสังฆราชไก่
เถื่อน พระอาจารย์สี พระญาณโพธิ์เถร(ขาว) พระวินัยรักขิต(ฮั่น) พระครูวินัยธรรม (กัน) พระญาณวิสุทธิ์เถร(เจ้า) พระญาณโกศลเถร(มาก) พระเทพโมลี(กลิ่น) พระปิฏก
โกศล(แก้ว) และพระอาจารย์ดำ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๕ พระญาณสังวรเถร(ด้วง) ครองวัดราชสิทธารามอยู่
ประมาณ ๔ ปี ทางวัดประยูรวงศ์เกิดเหตุการณ์บางอย่าง เนื่องจากพระญาณไตรโลก
(ขำ) ได้มรณภาพลง ผู้สร้างวัดทั้งสองท่านไม่อาจตกลง เรื่องผู้ที่จะมาเป็นเจ้าอาวาสได้
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงได้ทรงพระกรุณา
โปรดกล้าฯให้อาราธนานิมนต์ พระญาณสังวร(ด้วง) เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ผู้เป็น
ศิษย์ สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ไประงับเหตุ และให้ไปครองวัดประยูรวงศ์ เป็นครั้ง
ที่ ๒ พร้อมทั้งดูแลวัดราชสิทธาราม อีกด้วย
กาลต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว ทรงตั้ง พระเทพโมลี (จี่)
ไปครองวัดประยูร พระญาณสังวร (ด้วง) ก็กลับมาวัดราชสิทธาราม แต่วัดประยูรครั้ง
นั้นอยู่ในเขตปกครองของ พระญาณสังวร (ด้วง) ท่านจึงไป-มาระหว่างวัดพลับ กับวัด
ประยูรเสมอ
สมัยนั้นพระญาณสังวร (ด้วง) ท่านเป็นพระมหาเถระที่ พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เจ้านายในพระราชวงศ์ ทางราชการคณะสงฆ์ และบรรดาญาติ
โยมทั้งหลาย ให้ความเคารพนับถือยำเกรงท่านเป็นอันมาก ท่านเป็นพระมหาเถรผู้ทรง
คุณธรรมสูง ทรงคุณวิเศษในพระพุทธศาสนา เป็นรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน ผู้คนทั้งหลาย
ในสมัยนั้น มักเรียกขานนามของท่านว่า หลวงปู่ใหญ่ เมื่อหลวงปู่ใหญ่ ไปครองวัด
ประยูรวงศ์แล้ว เรื่องราวต่างๆก็สงบราบคาบลง ท่านครองวัดประยูรวงศ์แล้ว ท่านก็
ยังคงครองวัดพลับอยู่เช่นเดิมด้วย ท่านครองทั้งสองพระอาราม ท่านไปๆมาๆ ระหว่างวัดพลับ กับวัดประยูรวงศ์ กลางวันไปวัดประยูรฯ กลางคืนมาวัดพลับ ที่วัดพลับท่านมี ภาระหน้าที่ใหญ่คือ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ดูแลศูนย์กลางกรรมฐาน
ของรัตนโกสินทร์
ดังที่กล่าวมาแล้ว หลังจากวัดประยูร สงบราบคาบลงแล้ว ท่านก็กลับมาวัดราช
สิทธาราม จากนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระเทพโมลี (จี่) ไปครองวัดประยูร แทน ต่อมาได้เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ (จี่)
ในสมัยนั้นมีพระสงฆ์มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ที่วัดพลับกัน
มากมาย พระญาณสังวร (ด้วง) จึงแต่งตั้งให้ พระครูญาณมุนี (สน) ๑ พระครูญาณกิจ
(ด้วง) ๑ พระอาจารย์รุ่ง(พระญาณโกศลเถร) ๑ พระอาจารย์บุญ ๑(พระญาณสังวร)พระ
อาจารย์มี ๑(พระโยคาภิรัต)พระอาจารย์เมฆ ๑ (พระสังวรานุวงษ์เถร) และอีกหลายท่าน
ที่ไม่ปรากฏนาม เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยท่าน บอกพระกรรมฐาน ช่วยรักษาความ
เรียบร้อย ของวัดราชสิทธารามด้วย
เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงเรียกขานนามท่านว่า หลวงปู่ใหญ่ เพราะท่านควบคุมพระ
อาจารย์บอกพระกรรมฐาน วัดพลับถึง ๑๐ กว่าองค์ เหตุที่ท่านปกครองทั้งสองวัด เพราะ
พระสงฆ์ที่วัดพลับ และวัดประยูรส่วนใหญ่เวลานั้นเป็นสัทธิวิหาริก และเป็นศิษย์ของ
ท่านโดยมาก และเคารพในพระอาจารย์ผู้มีคุณธรรมสูง เมื่ออาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่มี
ใครกล้าทับที่ ตีเสมอครูบาอาจารย์
เวลานั้น พระสงฆ์ในกรุงนอกกรุง และหัวเมืองใกล้เคียง ล้วนเดินทางมาศึกษา
พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับในสำนักพระญาณสังวร (ด้วง) กันเป็นอันมาก เพราะ
เป็นวัดกรรมฐานหลักวัดอรัญวาสีใหญ่ เสมือนมหาวิทยาลัยกรรมฐานที่มีชื่อเสียง ทาง
ราชสำนักจึงได้ถวายนิตยภัต แก่พระสงฆ์ที่มาศึกษาพระกรรมฐานในวัดราชสิทธารามนี้
ด้วย
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๙ ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคชรา อยู่ที่วัดประยูร
ต่อมาพระญาณสังวร(ด้วง) ได้ย้ายมาพักฟื้น อยู่ที่วัดราชสิทธาราม พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เสด็จมาทรงเยี่ยมอาการอาพาธของพระญาณสังวร (ด้วง) เนื่องจาก
ทรงคุ้นเคยกับพระญาณสังวร (ด้วง) มาช้านาน แต่ครั้งพระองค์ทรงผนวชอยู่ที่วัดราช
สิทธาราม และทรงนับถือว่าพระญาณสังวร (ด้วง) เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่ง
เมื่อพระญาณสังวร (ด้วง) ถึงแก่มรณะภาพลงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชทานโกศเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ถวายพระญาณสังวร (ด้วง) ตาม
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี
คำให้การขุนหลวงหาวัด ว่า พระพิมลธรรม ๑ พระธรรมอุดม ๑ พระญาณสังวร
๑ พระมหาสุเมธ ๑ พระพุทธโฆษา ๑ พระพรหมมุนี ๑ พระธรรมเจดีย์ ๑ พระธรรมไตร
โลกย์ ๑ พระธรรมราชา ๑ พระราชาคณะผู้ใหญ่ ๙ องค์นี้ จะพระราชทานโกศนั้น ต้อง
โกศตู้สี่เหลี่ยมตั้งบนแท่นแว่นฟ้าชั้นหนึ่งมีเครื่องสูงตีพิมพ์แปดคัน กลองชนะเขียว ๕ คู่
จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ เปนเกียรติยศ และในวัดราชสิทธาราม(พลับ) นี้ มีได้รับพระราชทาน
พระโกศตู้สี่เหลี่ยมตั้งบนแท่นแว่นฟ้าชั้นหนึ่งมีเครื่องสูงตีพิมพ์แปดคัน กลองชนะเขียว
๕ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ เปนเกียรติยศ ๓ องค์คือ เจ้าคุณหอไตร(ชิต) ๑ พระญาณสังวร
(ด้วง)๑ พระญาณสังวร(บุญ) ๑
ก่อนพระญาณสังวร (ด้วง) จะถึงแก่มรณะภาพที่วัดราชสิทธารามนั้น ท่านได้
มอบไม้เท้าไผ่ยอดตาลของ สำคัญประจำวัด ประจำพระกรรมฐานมัชฌิมา ไว้ให้แก่พระ
อาจารย์บุญ หรือพระญาณสังวร (บุญ) ผู้สืบทอดพระกรรมฐานองค์ต่อมา
ทรงคณะสงฆ์วัดราชสิทธาราม ตั้งสรีระของท่านไว้ในหีบทองทึบด้านหลังฉาก
พระโกศ ตั้งไว้ด้านหน้าฉาก ตั้ง ณ. ศาลาการเปรียญหลังเก่า ด้านหลังพระอุโบสถ ท่าน
มรณะภาพที่วัดราชสิทธาราม ซึ่งเป็นพระอารามเดิมของท่าน สิริรวมอายุได้ ๘๙ - ๙๐ ปี
สรีระของท่านเก็บบำเพ็ญกุศลไว้นานถึง ๕ ปี จึงพระราชทานเพลิงศพ ณ. เมรุวัดราช
สิทธาราม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สร้าง
เมรุลอยทำด้วยโคลงไม้ ขึงผ้าขาว ประดับด้วยลวดลายกระดาษทอง กระดาษเงิน ห้อย
พวงดอกไม้ประดับบนเมรุ
การประดับประดาครั้งนั้นมากนัก และสวยงาม เมื่อใกล้เวลาประชุมเพลิง
พระสงฆ์สมถะวิปัสสนา มากันมากมาย นั่งล้อมรอบเมรุเป็น ๓-๔ ชั้น ผู้คนแน่นขนัด
ลานวัด ถึงเวลาพระราชทานเพลิง เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จ
พระสังฆราช (ด่อน) ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ เหตุที่เก็บสรีระสังขารของท่านไว้
นานเพราะ ท่านมีลูกศิษย์ทั้งพระสงฆ์ ฆราวาสมากมาย ตลอดระยะเวลาเกือบ ๕ ปีมีการ
บำเพ็ญกุศลตลอด อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ยังไม่ทรงว่างพระราช
ภาระกิจ การพระราชทานเพลิงศพจึงยังคงค้างอยู่หลายปี
หลังจากงานพระราชทานเพลิง พระญาณสังวร (ด้วง) เสร็จสิ้นแล้ว เกิด
เหตุการณ์ยุ่งยากขึ้นบางประการ เกี่ยวกับอัฏฐิธาตุ บริขาร และไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอด
ตาล ของพระญาณสังวร (ด้วง) คณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ ทางวัดประยูร มา
ทวงอัฏฐิธาตุ บริขาร และไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร(ด้วง) เพื่อ
นำไปบรรจุ ไว้ ณ วัดประยูรวงศ์
ต่อมา คณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ วัดราชสิทธาราม ได้มอบอัฏฐิธาตุ
และบริขาร ของพระญาณสังวร (ด้วง) ให้ทางคณะญาติโยม คณะขุนนาง คณะสงฆ์ ทาง
วัดประยูร แห่นำไปบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์ใหญ่ วัดประยูร อัฏฐิ และบริขาร ของพระ
ญาณสังวร(ด้วง) จึงสถิต ณ พระเจดีย์ใหญ่ วัดประยูร จนถึงทุกวันนี้
ส่วนไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล พระญาณสังวร (ด้วง) ท่านได้มอบให้แก่ พระ
อาจารย์บุญ หรือพระญาณสังวร (บุญ) วัดราชสิทธารามไว้แล้ว คณะสงฆ์ คณะญาติ
โยม คณะขุนนาง ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเหมาะสมแล้ว เรื่องราวทั้งหลายจึงยุติลงด้วยดี
ทางวัดประยูรวงศ์ได้ อัฏฐิธาตุ และบริขาร ของ พระญาณสังวร (ด้วง) ทางวัด
ราชสิทธาราม ได้ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร (ด้วง) อันสืบทอดมา
แต่โบราณกาล ครั้งสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ยังทรงพระชนม์อยู่


 

 
 

๕. ประวัติพระญาณโกศลเถร(รุ่ง)

 ประวัติพระญาณโกศลเถร(รุ่ง)
00008

ประวัติพระญาณโกศลเถร(รุ่ง)
พระญาณโกศลเถร มีนามเดิมว่า รุ่ง เกิดเมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๖ ในรัช
สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่เมืองราชบุรี ต่อมามารดา-บิดา ย้ายมาอยู่ณ เมืองธนบุรี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๐ ในรัชกาลที่ ๑ ท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี บิดามารดา นำ
ท่านมาฝากบรรพชา เป็นสามเณร ในสำนัก ท่านเจ้าคุณหอไตร หรือพระพรหมมุนี (ชิต)
เล่าเรียนศึกษา อักขรภาษาไทย ภาษาขอม ศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักอุปัชฌาย์
    ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๗ บรรพชา-อุปสมบท ณ.วัดราชสิทธาราม พระญาณ
สังวร (สุก) เป็นอุปัชฌาย์ พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร
หรือท่านเจ้าคุณหอไตร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวินัยธรรมกัน ครั้งเป็นพระใบฎีกา
เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้ว ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี (ชิต)
ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร หรือ ท่านเจ้าคุณหอไตร กับพระใบฎีกากันด้วย และศึกษา
พระปริยัติธรรม-พระบาลีมูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น)
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๔๓ พรรษาที่หก เที่ยวสัญจรจาริกธุดงค์ ไปตามสถานที่
ต่างๆ กับคณะของพระภิกษุวัดราชสิทธาราม เป็นประจำทุกปี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๔๔ เป็นพระปลัด ถานานุกรม ของพระพรหมมุนี (ชิต)
ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร และ เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอก พระกรรมฐานมัชฌิมา
แบบลำดับ ในปีนั้นด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ เป็นได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูฝ่าย
วิปัสสนาธุระที่ พระครูศีลวิสุทธิ์ เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกพระกรรมฐาน ในวัดราช
สิทธาราม
     ปีพระพุทธศักราช ๒๓๗๕ รักษาการณ์ เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม สมัยพระ
ญาณสังวรเถร (ด้วง) ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศ์ รักษาการจนถึง พ.ศ. ๒๓๗๙
รักษาการเป็นเวลา ๕ ปี รักษาการเมื่อสิ้นบุญ พระญาณสังวรเถร (ด้วง) ขณะเก็บสรีระ
ของท่านอีกประมาณ ๕ ปี หลังพระราชทานเพลิงศพแล้วท่านรักษาการอีกประมาณ ๑ ปี
รวมรักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ๑๑ ปี
กล่าวไว้ในสมัยนั้นว่า เหตุที่ท่านพระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) หรือพระญาณโกศลเถร
(รุ่ง) ท่านรักษาการเจ้าอาวาสมานานถึง ๑๑ ปี เพราะเหตุยุ่งยากบางประการ ของ
บุคคลภายนอกพระอาราม ที่ไม่ศึกษาพระกรรมฐาน ไม่เห็นพระไตรลักษณ์ เนื่องมาจาก
ครั้ง เรื่องการแบ่งปันพระอัฏฐิธาตุ เรื่องไม้เท้าไผ่ยอดตาล ของพระญาณสังวร (ด้วง)
และเนื่องจากมีพระสงฆ์ราชาคณะอยากจะมาเป็น เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ) กัน
มากราย เพราะสมัยนั้น วัดราชสิทธาราม มีชื่อเสียงมากในทางวิปัสสนาธุระ
เรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ) จึงยาวนานมาเป็นเวลา ๑๑ ปี
โดยอ้างว่ายังไม่มีผู้เหมาะสม เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของขุนนางผู้ใหญ่ขัดแย้งกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระองค์ท่าน จึงทรงวางพระองค์เป็นกลาง
เพื่อไม่ให้เกิดความแตกร้าวเกิดขึ้นในแผ่นดิน
แต่พระสงฆ์ทรงสมถะ วัดราชสิทธารม (พลับ) ท่านไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้
ท่านนั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ด้วยจิตเป็นอุเบกขาเฉยๆ ท่านจึงอยู่อย่างสบายใจ สบาย
กาย เรื่องยุ่งยากต่างๆเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกพระอาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๖ วันพุธ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ ปีเถาะ พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งพระครูศีลวิสุทธิ์เป็นพระราชา
คณะ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณโกศลเถร เมื่อชนมายุได้ ๗๐ ปีเศษ และเป็นเจ้าอาวาส
วัดราชสิทธาราม ท่านได้รับแต่งตั้ง เมื่อสมัยสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช (นาค) สมเด็จ
พระสังฆราชองค์ที่ ๖ วัดราชบูรณะ (จากจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๒๐๕ เลขที่
๑๖๑ สมุดไทยดำ)
การแต่งตั้งครั้งนั้นจึง เป็นกาลเวลาที่เหมาะสมพอดี เพราะเป็นการแต่งตั้ง
สถาปนาครั้งใหญ่ ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะผู้ใหญ่ พระราชาคณะ
ผู้น้อย ในกรุง ๗๔ รูป และหัวเมือง ๓รูป รวม ๗๗ รูป พระอารามที่เป็นพระราชาคณะ
สองรูปมีถึง ๒๒ พระอาราม ครั้งนั้นวัดราชสิทธาราม ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็น
พระราชาคณะ ๒ องค์ คือ พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) ๑ พระญาณสังวรเถร (บุญ) ๑ ใน
เวลานั้นขุนนางผู้ใหญ่ ผู้น้อย ไม่มีใครกล่าวติเตียนได้ เพราะการสถาปนา แต่งตั้ง เป็นไป
โดยยุติธรรม สมควรแก่เหตุ
การศึกษาสมัย พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เป็นเจ้าอาวาส
ด้านวิปัสสนาธุระท่านมอบให้ พระญาณสังวรเถร (บุญ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่
พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มี พระอาจารย์เมฆ(พระครูศีลสมาจารย์)
ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม-บาลี พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระอาจารย์
ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มหาเกิด ๑ พระอาจารย์มหาเกด ๑
พระพุทธศักราช ๒๓๙๕ ถึงแก่มรณะภาพลง ด้วยโรคชรา อายุได้ประมาณ ๗๙
ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เป็นเวลานานถึง ๑๑ ปี รักษาการนานกว่าเจ้า
อาวาสทุกองค์ ของวัดราชสิทธารามที่ล่วงมาแล้ว เป็นเจ้าอาวาสครองวัดราชสิทธาราม
เป็นเวลานาน ๙ ปี รวมรักษาการ และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เป็นเวลา ๒๐ ปี
พอดี

 
 

๖. ประวัติพระญาณสังวร (บุญ)

 ประวัติพระญาณสังวร
00002

ประวัติพระญาณสังวร
พระญาณสังวร มีนามเดิมว่า บุญ เป็นชาวเมืองเพรชบุรี เกิดปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๑๗ ในสมัยกรุงธนบุรี ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๒ ท่านมีอายุ
ได้ ๑๕ ปี บิดามารดา นำท่านมาฝากอยู่กับป้า บ้านคลองบางกอกน้อย ธนบุรี ต่อมา
คุณป้า นำท่านมาฝากบรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระวินัยรักขิต (ฮั้น) ท่านได้เล่า
เรียนอ่าน-เขียน หนังสือภาษาไทย หนังสือขอม กับพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านก็ได้ศึกษา
เล่าเรียนพระกรรมฐานมัชฌิมา ในสำนักอุปัชฌาย์ด้วย ตอนเป็นสามเณร ท่านเคยตาม
พระอาจารย์ ออกไปรุกขมูล ตามป่าเขาด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๗ ท่านบรรพชา-อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธา
ราม (พลับ) โดยมีพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็น
พระญาณวิสุทธิเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) เป็นพระอนุสาวนา
จารย์
อุปสมบทแล้ว ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี (ชิต)
หรือท่านเจ้าคุณหอไตร และท่านได้ศึกษา กับพระวินัยธรรมกัน ครั้งเป็นพระใบฏีกาด้วย
ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น).ออกพรรษาของทุกปี
เที่ยวออกสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระสงฆ์ในวัดราชสิทธาราม เป็น
ประจำทุกปี
ประมาณปีพระพุทธศักราช. ๒๓๔๔ พรรษที่๗ เป็นพระปลัด ถานานุกรม ของ
พระวินัยรักขิต (ฮั่น) และเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานมัชฌิมาด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ พรรษาที่ ๑๓ ในรัชกาลที่ ๑ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่
พระครูศีลสมาจารย์ พระครูวิปัสสนาธุระ พระคณาจารย์เอก
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๖ ในรัชกาลที่ ๓ ณ.วันพุธ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำปีเถาะ
เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณสังวรเถร เจ้าคณะอรัญวาสี พระ
คณาจารย์เอก เมื่ออายุได้ประมาณ ๗๐ ปีเศษ เป็นปีที่ทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช
(นาค) วัดราชบูรณะ พระญาณสังวรเถร (บุญ)ได้รับพระราชทานพร้อม กับพระญาณ
โกศลเถร (รุ่ง)รับนิตยภัต ๒ ตำลึงกึง พระราชทานพัดงาสาน ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์
ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ของวัดราชสิทธาราม สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นที่เคารพ
นับถือ ของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายในพระราชวงศ์ และคณะสงฆ์ ข้าราชการผู้ใหญ่
ผู้น้อย รวมทั้งบรรดาญาติโยมทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูง บรรลุคุณวิเศษใน
พระพุทธศาสนา
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๗ ในรัชสมัยรัชกาลที่๓ พระญาณสังวรเถร (บุญ)
ได้รับพระราชทาน นิตยภัต เพิ่มอีกเป็น ๓ ตำลึง ต่อมาเพิ่มเป็น ๔ ตำลึงกึ่ง คนทั้งหลาย
ในสมัยนั้นมักเรียกขานนามของท่านว่า พระอาจารย์บุญบ้าง หลวงปู่บุญบ้าง เนื่องจาก
ท่านได้เป็นพระอาจารย์กรรมฐานมาตั้งแต่ ยังไม่ได้เป็นพระปลัด คนทั้งหลายจึงเรียก
ขานนามท่านจนติดปากว่า พระอาจารย์บุญบ้าง หลวงปู่บุญบ้าง
พระญาณสังวร (บุญ) ท่านจะหลีกเร้น ปลีกวิเวกเป็นเวลาเจ็ดวัน ทุกเดือน ณ กุฎิ
วิปัสสนาหลังเล็ก ในป่าช้าของวัด เป็นธรรมเนียมของพระสมถะ วัดราชสิทธาราม ที่ถือ
เป็นวัตรปฏิบัติสืบกันมาทุกพระองค์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๘ ในรัชสมัยรัชกาลที่๓ สมเด็จพระสังฆราช (นาค)วัด
ราชบูรณะ ทุพพลภาพ พระญาณสังวรเถร (บุญ) นั่งหน้ากรมพระปรมานุชิตฯ องค์ทำ
หน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช (นาค) พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓ จึงได้พระราชทาน
เลื่อนสมณะศักดิ์ พระญาณสังวรเถร (บุญ) เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ ในราชทินนามเดิม
ที่ พระญาณสังวร มีสร้อยราชทินนามดังนี้
สำเนา แต่งตั้ง
ให้เลื่อนพระญาณสังวรเถรเป็น พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์
จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตวัดราชสิทธาวาส พระ
อารามหลวง
มีถานานุกรม ๕ รูป พระครูปลัด ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครู
สมุห์๑ พระครูใบฎีกา๑ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มเป็น ๕ ตำลึง เป็นเจ้าคณะใหญ่
อรัญวาสี ตำแหน่งพระญาณสังวร สร้อยราชทินนามมีคำว่า ปรินายก สูงกว่าตำแหน่ง
พระพุฒาจารย์เดิม แทนพระพุฒาจารย์ (สนธิ์) เนื่องจากพระพุฒาจารย์ (สนธิ์) เจ้าคณะ
ใหญ่อรัญวาสีเดิม ทรงโปรดให้ยกขึ้นเป็นกิตติมาศักดิ์ คุมพระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระทั่ว
สังฆมณฑล รอบนอก
ปีที่พระญาณสังวรเถร (บุญ) เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระญาณสังวร
นั้น พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) ยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ) อยู่
แต่พระญาณสังวร (บุญ) ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ควบคุมพระสงฆ์
วิปัสสนาธุระ ในกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะยุคนั้นเวลานั้นวัดราชสิทธาราม (พลับ)เป็น
ศูนย์กลาง การศึกษาพระกรรมฐานประจำกรุงรัตนโกสินทร์ พระสงฆ์วิปัสสนาธุระทั้ง
สังฆมลฑล ต้องมาศึกษาพระกรรมฐาน ณ วัดราชสิทธาราม (พลับ)อันเป็นศูนย์กลาง
พระกรรมฐานประจำกรุงรัตนโกสินทร์
วัดราชสิทธาราม (พลับ) เป็นศูนย์กลางพระกรรมฐานประจำกรุงรัตน์โกสินทร์
มาจนถึงประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๘๐ จึงหมดสภาพความเป็นศูนย์กลางพระ
กรรมฐาน ของกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากปีพระพุทธศักราช ๒๔๘๐ ก็เกิดสำนักพระ
กรรมฐานขึ้นมากมาย ในกรุงรัตนโกสินทร์ ต่างตั้งแบบแผนการศึกษาพระกรรมฐาน
ขึ้นมาเป็นของตัวเอง ประจำสำนักต่างๆ โดยไม่รักษาแบบแผนการปฏิบัติพระ
กรรมฐานมัชฌิมาอันมีแต่ดั่งเดิม แต่ครั้งโบราณกาลมา
ตำแหน่งพระญาณสังวร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เมื่อมรณะภาพเข้าโกศ เนื่องจาก
เวลานั้นพระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระมหาเถรรัตตัญญู ผู้มีพรรษายุกาลมากกว่า
พระสงฆ์ราชาคณะผู้ใหญ่ทั้งปวงในเวลานั้น เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราช (นาด) วัด
ราชบูรณะ ทุพพลภาพ
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ศิษย์สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ประสูติพ.ศ.
๒๓๓๓ พระญาณสังวร (บุญ) เกิด พ.ศ. ๒๓๑๗ อายุพรรษามากกว่าถึง ๑๖ พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓ พระราชทานพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
หรือพัดใบสาเก ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี สำหรับใช้นั่งเป็นประธานสงฆ์ เมื่อมีกิจ
นิมนต์ในพระบรมมหาราชวัง พระญาณสังวร (บุญ) นั่งหน้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
องค์ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๕ สมัยต้นรัชกาลที่ ๔ พระญาณสังวร (บุญ) รักษาการ
เจ้าอาวาส ต่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ท่านเป็นอยู่ประมาณ ๒ ปี ถึงปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๙๗ ก็ถึงแก่มรณภาพ ศิษย์สำคัญของพระญาณสังวร (บุญ)คือ สมเด็จ
พระวันรัตน (แดง) ท่านมาศึกษาแต่ครั้งยังเป็นพระมหาแดง
การศึกษาในสมัย พระญาณสังวร (บุญ) ครองวัดราชสิทธาราม (พลับ) ฝ่าย
วิปัสสนาธุระ พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระ
ญาณโยคาภิรัติเถร (มี) ๑ พระครูศีลสมาจารย์(เมฆ) ๑ ฯ
การศึกษาด้าน พระปริยัติบาลีมูลกัจจายน์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระ
อาจารย์ใหญ่ พระสุธรรมธีรคุณ (เกิด) ๑ พระมหาเกด ๑ เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๗ ท่านอาพาธด้วยโรคชรา มรณะภาพลงเมื่อสิริรวม
อายุได้ ๘๐ ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานโกศเจ้า
คณะใหญ่อรัญวาสี ให้ตามตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี แต่เอาโกศตั้งไว้ข้างหน้าฉาก
สรีระของท่านใส่หีบทองทึบไว้ด้านหลังฉาก
สรีระสังขารของท่าน คณะศิษยานุศิษย์เก็บไว้บำเพ็ญกุศลนานประมาณสามปี
และนับเป็นสมัยสุดท้าย เมื่อสิ้นพระญาณสังวร (บุญ) แล้ว
ตำแหน่งพระญาณสังวร ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี อาวุโสทางพรรษานั่ง
หน้า ผู้มีสมณะศักดิ์สูง ก็ทรงยกเลิกทั้งหมดในรัชกาลที่ ๔ นี้เอง ทรงจัดการตั้งระเบียบ
แบบแผน ของคณะสงฆ์ใหม่
ถึงคราวพระราชทานเพลิงสรีระสังขารพระญาณสังวร (บุญ) พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่ หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ทำเมรุพิเศษด้วยโคลงไม้ ขึง
ด้วยผ้าขาว ตามแบบประเพณีเดิม ณ.วัดราชสิทธาราม ประดับด้วยกระดาษทองกระดาษ
เงิน ตัดฉลุ ทำเป็นลวดลายวิจิตร ประดับพวงดอกไม้หอมต่างๆ แต่การประดับประดา
นั้น ยังน้อยกว่าครั้ง งานพระราชทานเพลิงศพ พระญาณสังวร (ด้วง)
ใกล้เวลาพระราชทานเพลิงศพมี พระสงฆ์มากมาย มานั่งล้อมรอบเมรุหลายชั้น
คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อถึงเวลาพระราชทานเพลิงศพเสด็จพระราชดำเนินมา
ประราชทานเพลิงสรีระสังขารท่าน สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลง
กรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ การพระราชทานเพลิงนั้นอยู่
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๐
พระญาณสังวร (ด้วง) พระญาณสังวร (บุญ) ได้เป็นพระอาจารย์กรรมฐานของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวครั้งทรงผนวช และเสด็จพระราชดำเนินไปมา
ระหว่าง วัดพลับ กับวัดสมอลาย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสรรเสริญไว้เมื่อได้
ทรงพระราชนิพนธ์ ถึงการทรงศึกษาพระกรรมฐาน ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ว่า.ได้ทรงประทับศึกษาอาจารย์สมัยในสำนักวัดสมอลาย ทรงทราบเสร็จสิ้นจนสุดทางที่จะศึกษาต่อไปอีกได้ จึงได้ย้ายไปประทับอยู่ ณ. วัดพลับ (ตรงกับสมัย พระญาณ สังวร(ด้วง)ครองวัดพลับ พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระราชาคณะพ.ศ.๒๓๘๖ ครองวัด พลับ พ.ศ. ๒๓๙๓) ันเป็นแหล่งสำคัญเชี่ยวชาญในการ วิปัสสนาธุระ อีกแห่งหนึ่ง ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๓)ได้ทรงผนวชที่นั้น แต่หาได้เสด็จ ประทับประจำอยู่เสมอไม่ เสด็จไปอยู่วัดราชสิทธิ์บ้าง เสด็จกลับมาประทับอยู่วัดสมอ รายบ้าง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงเธอ กรมดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า (เรื่องประวัติ
วัดมหาธาตุ ๒๔๖๑) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงผนวช
แล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ. วัดสมอลาย ๑ ปี ทรงศึกษาวิธีสมถะภาวนา ทั้งที่ในสำนักวัด
สมอราย และเสด็จไปศึกษาที่สำนักวัดราชสิทธิ์ ทรงทราบตลอดลิทธิอาจารย์ทั้งสองแห่ง
นั้น ต่อมาปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๗ เดือน ๘ ปีขาล หลังจากเสด็จเถลิงถวัลย์ราช
สมบัติแล้ว ๓ ปี หลังพระราชทานเพลิงสรีระสังขารของ พระญาณสังวร (บุญ) แล้ว จึง
ทรงสร้างพระเจดีย์ คลอบพระเจดีย์องค์เดิมด้านทิศใต้ ของพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อ
บรรจุอัฏฐิธาตุ อังคารธาตุ ของพระปิฏกโกศล (แก้ว) พระญาณโกศลเถร(รุ่ง ) พระญาณ
สังวร (ด้วง) พระญาณสังวร (บุญ) และเป็นสำคัญว่า เคยเสด็จมาประทับศึกษา ณ. สำนักอาจารย์เดียวกัน จึงทรง สร้าง พระสิรจุมภฏะเจดีย์ ไว้เป็นคู่กันกับ พระสิราศนเจดีย์ ที่ทรงพระราชอุทิศถวาย สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

 
 

๗. ประวัติพระโยคาภิรัตเถร (มี)

 ประวัติพระโยคาภิรัตเถร

00006ประวัติพระโยคาภิรัตเถร
พระโยคาภิรัติเถระ มีนามเดิมว่า มี เป็นชาวบ้านตลอดขวัญ (นนทบุรี)แต่บ้านเดิมท่านอยู่นครศรีธรรมราช บิดามารดาของท่านมีศรัทธา
เลื่อมใสในพระญาณสังวรเถร สุก ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๗ ในรัช
สมัย พระเจ้ากรุงธนบุรี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๑ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ มารดาบิดา ของท่านนำท่านมา
ฝากบรรพชาเป็นสามเณรในสำนัก ของพระวินัยรักขิต (ฮั้น) เพื่อเล่าเรียนอักขระสมัย
ต่อมาได้เล่าเรียนพระกรรมฐานด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๘ บรรพชาอุปสมบท ณ. วัดราชสิทธาราม พระญาณ
สังวร (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร เป็นพระ
กรรมวาจาจารย์ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) เป็นอนุสาวนาจาย์
อุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระอุปัชฌาย์ และ
พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็น พระญาณวิสุทธิเถร แลกับพระวินัยธรรมกัน ครั้งเป็นพระ
ใบฎีกาด้วย
ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น) ออกพรรษาแล้ว
เที่ยวออกสัญจรจาริกรุกขมูลไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระภิกษุสงฆ์ วัดราชสิทธาราม หา
ความสงบวิเวกเป็นประจำทุกปี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ในรัชกาลที่๒ เป็นพระปลัด ถานานุกรม ของพระ
รัตนมุนี (กลิ่น) ได้เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานด้วย
ปีพระพุทธศักราช .๒๓๘๖ ในรัชกาลที่ ๓ เป็นพระครูสังวรสมาธิวัตร พระครู
วิปัสสนาธุระ พระคณาจารย์เอก
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๔ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณโยคาภิรัติเถร เมื่ออายุ
ได้ ๗๗ ปี รับพระราชทานพัดงาสาน ปีเดียวที่ทรงโปรดเกล้าฯให้ตั้งพระราชพิธีมหา
สมณุตมาภิเษก เฉลิมพระนามกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสฯ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๗ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
เป็นอาจารย์ใหญ่วิปัสสนาธุระด้วย
การศึกษาสมัย พระโยคาภิรัติเถระ ครองวัดราชสิทธิ์ ด้านวิปัสสนาธุระ พระโย
คาภิรัตเถร เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระครูศีลสมาจารย์ (เมฆ) ๑ ฯ
การศึกษาด้านปริยัติธรรม-บาลีมูลกัจจายน์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระ
อาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์มหาเกิด ๑ พระมหาเกด ๑
ปีพระพุทธศักราช.๒๔๐๒ ลาออกจากเจ้าอาวาส เมื่ออายุได้ ๘๕ ปี เพราะชรา
ทุพพลภาพ ท่านมีปกตินิสัยชอบปลีกวิเวก หาความสงบ

เมื่อท่านลาออกจากเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้เปรยว่า ถ้าวัดพลับไม่มีกรรมฐาน จะไม่สงบ

ท่านได้กล่าวไว้เป็นคำกลอนว่า  วัดเอ๋ยวัดพลับ จะย่อยยับเหมือนสับขิง ฝูงสงฆ์จะลงเป็นฝูงลิง ฝูงเณร และเด็ก จะวิ่งเป็นสิงคลี

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๔ มรณะภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี

 
 

๘. ประวัติพระอมรเมธาจารย์ (ทัด)

 ประวัติพระอมรเมธาจารย์
00009

ประวัติพระอมรเมธาจารย์
พระอมรเมธาจารย์ มีนามเดิมว่า ทัด เป็นชาวกรุงเก่า เกิดเมื่อประมาณปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๑๘ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๒ ท่านอายุได้
๑๔ ปี บิดา-มารดานำท่านมาฝากบรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณวิสุทธิเถร
(ชิต) เพื่อเล่าเรียน อักขรสมัยภาษาไทย ภาษาบาลี
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๙ บรรพชาอุปสมบท ณ.วัดราชสิทธาราม พระญาณ
สังวร (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร เป็นพระ
กรรมวาจาจารย์ พระใบฏีกากัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระ
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร และ
พระครูวินัยธรรมกัน ครั้งเป็นพระใบฎีกา จนจบสมถะวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมา แบบ
ลำดับ และได้ศึกษาปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น) ออกพรรษาแล้ว
เที่ยวออกสัญจรจาริกธุดงค์ ไปกับพระภิกษุกรรมฐานวัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ ในรัชกาลที่ ๑ เป็นพระปลัด ถานานุกรม ของพระวินัย
รักขิต (ฮั่น) และเป็นพระอาจารย์บอกหนังสือบาลีมูลกัจจายน์ เป็นอาจารย์ผู้ช่วยบอก
พระกรรมฐาน ของพระครูวินัยธรรมกันด้วย ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานของท่าน
ต่อมาพระภิกษุทัด ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๖ เป็นพระครูศีลสมาจารย์ พระครูวิปัสสนาธุระ พระ คณาจารย์เอก
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๔ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ในรัชกาลที่ ๔ ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ เป็นพระราชาคณะที่ พระอมรเมธาจารย์ เมื่ออายุได้
๗๖ ปี สมัยเดียวกับที่ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เฉลิมพระนาม กรมสมเด็จ
พระปรมานุชิตชิโนรส
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม การศึกษาเมื่อท่าน
ครองวัด ด้านปริยัติท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่เอง พระสุธรรมธีรคุณ (เกิด) ๑ พระมหา
เกด ๑ เป็นอาจารย์ผู้ช่วย การศึกษาด้านพระวิปัสสนาธุระ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ)
เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระครูปลัดโต ๑ พระครูสมุห์กลั่น ๑พระครูปลัดเอี่ยม ๑ เป็นพระ
อาจารย์ผู้ช่วย พระอมรเมธาจารย์ครองวัดราชสิทธารามอยู่ประมาณ ๕ เดือน ก็ถึงแก่
มรณะภาพลง ด้วยโรคชรา เมื่ออายุ ๘๔ ปี

 
 

๙. ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ)

 ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร

00003ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร
พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า เมฆ บ้านเดิมอยู่ แขวงกรุงเก่า เกิดเมื่อ
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๓ ปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เข้ามาบรรพชา
อุปสมบทวัดพลับ เพราะศรัทธาเลื่อมใสในพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๓๗ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดา ได้นำท่านมาฝาก
บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระวินัยรักขิต (ฮั้น) เพื่อศึกษาอักขรสมัย ต่อมาได้ศึกษา
พระกรรมฐานในสำนักพระอุปัชฌาย์ด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๔๔ บรรพชาอุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม
พระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร หรือท่านเจ้าคุณหอไตร เป็น
พระกรรมวาจาจารย์ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี
(ชิต) และพระครูวินัยธรรมกัน ครั้งเป็นพระใบฎีกาด้วย
ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น). ต่อมาได้ออก
รุกขมูลเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ที่ต่างๆ
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ ในรัชกาลที่ ๒เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุ
กรมชั้นที่ ๑ ของพระญาณวิสุทธิ์เถร (เจ้า) เป็นพระอาจารย์บอกพระกรรมฐานในปีนั้น
ด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๒ ในรัชกาลที่๓ ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็น พระ
ครูศีลสมาจารย์ พระคณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ รับพระราชทานนิตยภัต ๑ ตำลึง ๒
บาทปีที่สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นสมเด็จ
พระสังฆราชเจ้า องค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา
คณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร มีนิตยภัต ๓ ตำลึง และให้จ่ายข้าวสาร
ซ้อมแล้ว ๑๕ ทะนาน เป็นประจำทุกเดือน รับพระราชทานพัดงาสาน ปีนั้นสิริรวมอายุ
ท่านได้ ๘๐ ปีพอดี ตำแหน่งพระสังวรานุวงศ์เถร หมายความว่าผู้สืบวงศ์พระกรรมฐาน
มัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒อีก ๕ เดือนต่อมา พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) ได้
มรณะภาพลง พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๓ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เป็นอาจารย์ใหญ่
ฝ่ายวิปัสสนาธุระประจำวัดราชสิทธาราม เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี เจ้าคณะมณฑล
ธนบุรี รับพระราชทานนิตยภัต ๓ ตำลึง ๒ บาท
ด้านการศึกษา
ด้านพระกรรมฐาน พระสังวรานุวงศ์เถร เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระครูสังวร
สมาธิวัตร (เอี่ยม) ๑ พระปลัดโต ๑ พระสมุห์กลั่น ๑ พระปลัดมาก ๑ พระสมุห์คง ๑ พระ
ปลัดเอี่ยม ๑ พระสมุห์ชุ่ม ๑ เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย ในสมัยท่านพระกรรมฐาน
เจริญรุ่งเรืองมาก มีพระเถรานุเถรมาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกันมากมาย
เช่น พระมหาแพต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช นำมาฝากโดยสมเด็จ
พระวันรัต(แดง) วัดสุทัศน์ พระภิกษุเงิน หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พระภิกษุศุข หรือ
หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า พระภิกษุทอง หลวงพ่อทองวัดราชโยธา พระมหาเสาร์ กันตสี
โร หรือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโร ฯลฯ
ฝ่ายพระปริยัติธรรม-บาลี พระสุธรรมธีรคุณ (เกิด) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระ
อมรเมธาจารย์ (เกษ) ๑ พระปลัดอ่อน ๑ พระอาจารย์ทอง๑ พระมหาด้วง ๑ พระมหาแก้ว
๑ เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ ท่านมรณะภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อสิริรวมอายุได้
๑๐๖ ปีพรรษา ๘๕ เป็นเจ้าอาวาสมา ๒๖ ปี สรีระของท่านเก็บบำเพ็ญกุศลไว้ประมาณ
สองปีเศษ จึงพระราชทานเพลิงศพ ระหว่างที่เก็บสรีระ ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ)
พระสุธรรมธีรคุณ (เกิด) เจ้าอาวาสองค์ต่อมาได้มรณะภาพลง ต่อมาอีกประมาณ ๖ เดือน
พระอมรเมธาจารย์ (เกด) เจ้าอาวาสองค์ต่อมา ก็ได้มรณะภาพลงอีก เนื่องจากท่านทั้ง
สามองค์มีพรรษายุกาลชราภาพมากแล้ว เวลานั้นวัดราชสิทธาราม จึงมีงานตั้งบำเพ็ญ
กุศลศพ ๓ ศพ
และกาลต่อมาประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๑จึงได้พระราชทานเพลิงศพ
พร้อมกันทั้ง ๓ ศพในวันเดียวกัน วันที่พระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จมาเป็น
องค์ประธานฝ่ายคณะสงฆ์ พระราชทานเพลิงศพ ครั้งนั้นกล่าวว่า พระบรมวงศานุวงศ์
และเจ้านายในรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงพระชนชีพอยู่มาจนถึงรัชกาลที่ ๕
ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย พระสงฆ์ผู้ใหญ่ ผู้น้อย มาแน่นขนัดเต็มลานวัดไปหมด เรือที่มา
งานศพก็จอดยาวตั้งแต่ครองบางกอกใหญ่ เข้ามาแน่นคลองวัดราชสิทธาราม เนื่องจาก
ท่านทั้ง ๓ เป็นพระมหาเถรมีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น
และในสมัยนั้น สำนักวิปัสสนาธุระในประเทศไทย วัดราชสิทธารามเป็นสำนักที่
มีชื่อเสียงมาก และเป็นวัดอรัญวาสีสำคัญที่เหลืออยู่ในเวลานั้น อีกทั้งในเวลานั้นใน
ประเทศไทยก็ยังไม่มีสำนักกรรมฐานใหญ่ๆเกิดขึ้นเลย จึงมีแห่งเดียวที่ วัดราชสิทธา
รามนี้เท่านั้น
ทำเนียบ สมณศักดิ์ พระราชราคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่พระสังวรานุวงศ์เถร
ประจำวัดราชสิทธารามศูนย์กลางพระกรรมฐานประจำกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มมีขึ้นใน
รัชสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๑. พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๐๒ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ถึงแก่
มรณะภาพ เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๘ ในรัชกาลที่ ๕
๒. พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๒๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ถึงแก่
มรณะภาพ เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ในรัชกาลที่ ๖
๓.พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๕๗ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ถึงแก่
มรณะภาพ เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๐ ในรัชกาลที่ ๗
๔.พระสังวรานุวงศ์เถร (สอน) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๙๐ เทียบชั้นราช ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๙ ถึงแก่มรณะภาพ เมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๕๐๐ ในรัชกาลที่ ๙

 
 

๑๐. ประวัติพระสุธรรมธีรคุณ (เกิด)

 ประวัติพระสุธรรมธีรคุณ
00011

ประวัติพระสุธรรมธีรคุณ
พระสุธรรมธีรคุณ มีนามเดิมว่า เกิด เป็นชาวเมืองธนบุรี เกิดเมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๓๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๓ ในรัชกาลที่ ๒
ท่านอายุได้ ๑๔ ปี บิดา-มารดานำท่านมาฝากบรรพชาในสำนักพระญาณวิสุทธิ์เถร (ชิต)
เล่าเรียนอักขรสมัย
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๐ บรรพชาอุปสมบทที่วัดราชสิทธาราม สมเด็จพระ
ญาณสังวร เป็นพระอุปัชฌาย์พระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร เป็นพระ
กรรมวาจาจารย์ พระวินัยรักขิต (ฮั่น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระ
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี (ชิต) ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระญาณวิ
สุทธิเถร และกับพระวินัยธรรมกันด้วย จนจบสมถะวิปัสสนา ศึกษาพระปริยัติธรรม
บาลี กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น) และพระเทพโมลี (กลิ่น) ออกพรรษาทุกปีออกเที่ยวสัญจร
จาริกไปตามสถานที่ต่างๆ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ เป็นที่พระปลัด ถานานุกรม ชั้นที่ ๑ ของพระวินัย
รักขิต (ฮั่น) และเป็นอาจารย์ผู้ช่วย ของพระครูวินัยธรรมกัน บอกพระกรรมฐาน และ
บอกพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ด้วย ต่อมาสอบทานได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๘๖ ในรัชกาลที่ ๓ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น
พระครูศีลวิสุทธิ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๖ ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่ พระสุธรรม
ธีรคุณ สมัยที่สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระเปาเรศวิริยาลงกรณ์ สมเด็จ
พระสังฆราชเจ้า องค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ เป็นเจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม ด้านการศึกษา
พระสังวรานุวงศ์เถระ(เอี่ยม) เป็นครั้งเป็นพระครูสังวรสมาธิวัตร เป็นพระอาจารย์ใหญ่
ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระสมุห์ชุ่ม ๑ ด้านพระปริยัติธรรม พระอมร
เมธาจารย์ (เกษ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ประมาณ ๓ เดือน ถึงแก่
มรณะภาพลง ด้วยโรคชรา เมื่ออายุได้ ๙๐ ปีพรรษา ๖๙ ขณะนั้น สังขารของพระสังวรา
นุวงศ์เถร (เมฆ) ยังตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ เวลานั้น วัดราชสิทธาราม มีการตั้งบำเพ็ญกุศลศพ
เจ้าอาวาสถึง ๒ องค์ ได้พระราชทานเพลิงศพพร้อมกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ)

 
 

๑๑. ประวัติพระอมรเมธาจารย์ (เกษ)

 ประวัติพระอมรเมธาจารย์
00012

ประวัติพระอมรเมธาจารย์
พระอมรเมธาจารย์ มีนามเดิมว่า เกษ เป็นชาวเมืองอ่างทอง เกิดเมื่อปีพระ
พุทธศักราช ๒๓๔๒ ในรัชกาลที่ ๑ ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๖ ในรัชกาที่ ๑
ท่านอายุได้ ๑๔ ปี บิดามารดา นำท่านมาฝากบรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณวิ
สุทธิ (ชิต) เล่าเรียนอักขรสมัย และศึกษาวิปัสสนาธุร
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๒ (นับเดือนไทย) ได้บรรพชาอุปสมบท
ณ.พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม สมเด็จพระญาณสังวร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพรหมมุนี
(ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิ์เถร หรือท่านเจ้าคุณหอไตร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระ
วินัยรักขิต (ฮั่น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังท่านอุปสมบทแล้วไม่นาน จึงเกิด
อหิวาตกโรค ห่าลงเมืองในรัชกาลที่ ๒
หลังจากนั้น ๔ เดือนคือ ถึงเดือนอ้าย ขึ้น๒ ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๑๘๒
(๒๓๖๓)สมเด็จพระญาณสังวร ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่ สมเด็จพระสังฆราช
ท่านอุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระพรหมมุนี
(ชิต) ครั้งเป็นพระญาณวิสุทธิเถร และพระครูวินัยธรรมกันด้วย
ศึกษาพระปริยัติบาลีคัมภีร์มูลกัจจายน์ กับพระวินัยรักขิต (ฮั่น) และพระเทพโมลี
(กลิ่น) ออกพรรษาแล้วได้ออกสัญจรจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระสงฆ์วัดราช
สิทธาราม เป็นประจำทุกปี
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระปลัด ของพระอมร
เมธาจารย์ (ทัด) และเป็นพระอาจารย์บอกหนังสือบาลีมูลกัจจายน์ และเป็นพระอาจารย์
ผู้ช่วยบอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของพระครูวินัยธรรมกันด้วย ต่อมาสอบได้
เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๓ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูศีลสมาจารย์ พระ
คณาจารย์เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ แทนที่พระครูศีลสมาจารย์ (เมฆ)ที่ได้รับพระราชทาน
เลื่อนเป็นพระราชาคณะ
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๗ ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่ พระอมร
เมธาจารย์ ทำหน้าที่บอกหนังสือ และบอกพระกรรมฐานด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ เป็นรักษาการ และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
การศึกษาสมัยท่านเป็นเจ้าอาวาส ด้านวิปัสสนาธุระ พระสังวรานุวงศ์เถร์ (เอี่ยม) ครั้ง
เป็น พระครูสังวรสมาธิวัตร เป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีพระปลัดชุ่ม ๑ เป็นพระอาจารย์
ผู้ช่วย พระอมรเมธาจารย์ (เกษ) เป็นเจ้าอาวาสอยู่ประมาณ ๓ เดือน ก็ถึงแก่มรณะภาพ
ลงด้วยโรคชรา เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี ขณะเมื่อพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) มรณะภาพ
นั้น วัดราชสิทธาราม ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ อดีตเจ้าอาวาสถึง ๒ องค์แล้ว เมื่อมาสิ้นบุญ
พระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ที่วัดราชสิทธาราม จึงมีการตั้งบำเพ็ญกุศลศพ อดีตเจ้าอาวาส
ถึง ๓ องค์ ต่อมาจึงได้ทำการพระราชทานเพลิงศพพร้อมกันทั้ง ๓ องค์ในเวลานั้น

 
 

๑๒. ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)

 พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)

พระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า ชุ่ม เป็นบุตรนายอ่อน โพอ่อน นางขลิบ โพ อ่อน เกิดที่ตำบลเกาะท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่อวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. ๑๒๑๕ ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ในต้นรัชกาลที่ ๔ ได้เล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี ในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม ตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๙ ในรัชกาลที่ ๔ อายุ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนัก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ได้ศึกษาอยู่ตลอดมา ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๑๗ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์กลั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) และศึกษาพระกรรมฐานต่อกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ครั้งยังเป็นพระครู สังวรสมาธิวัตร แล้วได้ออกสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำทุกปี ต่อมาได้รับสืบทอดไม้เท้า ไผ่ยอดตาล จากพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) องค์พระอุปัชฌาย์

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๑ เป็นเจ้าคณะหมวด เมื่อพรรษาได้ ๔ พรรษา ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๔ เป็นพระใบฏีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๗ พรรษา ๑๐ เป็นพระสมุห์ ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๒ ของพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ในพรรษานั้นท่านได้รับแต่งตั้งจาก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ให้เป็น พระอาจารย์บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับด้วย ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ พรรษาที่ ๑๒ ได้เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระครูชั้นพิเศษ ตำแหน่งรองเจ้าอาวาสที่ พระครูสังวรสมาธิวัตร ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๗ บาท และในปีเดียวกันนี้ พระครูสังวรสมาธิวัตร(ชุ่ม) ได้รับแต่งตั้งเป็น พระคณาจารย์ เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา คณะสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้ายของวัดราชสิทธาราม ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๑๒ บาท ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๘ พระสุธรรมสังวร (ม่วง) ลาออกจากเจ้าอาวาสวัดราช สิทธาราม กลับไปวัดเดิม พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ราชสิทธาราม เป็นองค์ต่อมา และเป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มณฑลธนบุรี นับเป็นองค์ สุดท้าย ที่เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ประจำมณฑลธนบุรี และได้รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้าย ของวัดราชสิทธาราม

ผู้คนทั้งหลาย ในสมัยนั้น เรียกขานนามท่านว่า ท่านเจ้าคุณสังวราฯ บ้าง หลวงปู่ชุ่มบ้าง ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๙ ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพื่มขึ้นอีก เดือนละ ๒ บาท รวมเป็น ๒๔ บาท เทียบพระราชาคณะชั้นราช ปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๐ พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามแล้ว พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในสมัยท่านเจริญรุ่งเรื่องมาก มีพระเถรพระมหาเถร มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกันมากมาย มีปรากฏชื่อเสียงหลายท่านคือ พระภิกษุพริ้ง (พระครูประสาธสิกขกิจ ) วัดบางประกอก พระภิกษุสด(พระมงคลเทพ มุนี) วัดปากน้ำ พระภิกษุโต๊ะ (พระราชวังวราภิมนต์) วัดประดู่ฉิมพลี พระภิกษุกล้าย (พระครูพรหมญาณวินิจ) วัดหงส์รัตนาราม พระภิกษุขัน (พระครูกสิณสังวร) วัดสระเกศ พระภิกษุเพิ่ม (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อปานวัดบางนมโค มาศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)ไม่ทัน ท่านจึงไปศึกษากับ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกฯ แทน ในกาลต่อมา การศึกษาสมัยท่านครองวัด ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเอง พระ ครูสังวรสมาธิวัตร(แป๊ะ) เป็นผู้ช่วยพระอาจารย์ใหญ่ ทางด้านพระปริยัติธรรม พระ มหาสอนเป็น พระอาจารย์ใหญ่ เรียนพระบาลีไปเรียนที่วัดประยูรวงศาวาสบ้าง วัดอรุณ ราชวรารามบ้าง ในสมัยที่ท่านครองวัด พระกรรมฐานเจริญรุ่งเรื่องมาก ถึงขนาดมีพระสงฆ์มา ศึกษาพระกรรมฐานมากถึง ๒๐๐ รูปเศษ ท่านเป็นผู้เก็บรักษา เครื่องบริขารต่างๆของ บูรพาจารย์พระกรรมฐาน ต่อจากพระอาจารย์ของท่าน มีบริขารของสมเด็จพระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) เป็นต้น ปัจจุบันบริขารต่างๆได้เก็บรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม

ปีพระพุทธศักราช. ๒๔๗๐ ท่านมรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๗๐ รวมสิริรวมอายุได้ ๗๕ ปี พรรษา ๕๔ เมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน มี ผู้คนคณะสงฆ์ที่เคารพนับถือท่านได้มาที่วัดราชสิทธารามกันแน่นวัดมีเรือจอดที่คลอง หน้าวัดแน่นขนัด เก็บสรีระของท่าน ไว้บำเพ็ญกุศลประมาณ ๑๐๐ วัน ระหว่างบำเพ็ญ กุศลมีการจุดพลุตลอดทั้ง ๑๐๐ วัน เมื่อจะพระราชทานเพลิงศพทางวัด ได้จัดทำเมรุ ทำเป็นรูปทรงเขาพระสุเมรุราช ข้างพระเจดีย์ใหญ่หน้าวัดด้านใต้ พระราชทานเพลิงศพเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๗๐(นับเดือนไทย ตั้งแต่ เดือนเมษายน เป็นปี ๒๔๗๑) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เสด็จมาเป็นองค์ประธาน พระราชทาน เพลิงศพ ท่านเสด็จมาโดยมิได้มีหมายกำหนดการมาก่อน เมื่อมาถึงทางวัดได้จัดการให้ พระองค์ท่านประทับนั่งอย่างสมพระเกียรติ (นั่งโต๊ะ) แต่พระองค์ท่านได้ตรัสว่า ฉันมาเผาอาจารย์ฉัน แล้วพระองค์ท่านก็ให้พระสงฆ์ที่ติดตามท่านมาปูลาดอาสนะธรรมดา ประทับนั่งลงกับพื้นในที่ชุมนุมสงฆ์แถวหน้าอย่างโดยไม่ถือพระองค์ กล่าวว่าท่านเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์เดียว ที่เสด็จมาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับจนจบ กล่าวขานกันในสมัยนั้นว่าท่านเป็นพระมหาเถรองค์หนึ่งที่ บรรลุคุณวิเศษใน พระพุทธศาสนา พระองค์ท่านจะมาศึกษาแบบส่วนพระองค์ในเวลาค่ำ หลังเสร็จราชกิจ ทรงศึกษา กับพระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) ณ วัดราชสิทธารามที่กุฏิหลังเขียว (ปัจจุบันรื้อไปแล้วไปปลูกไว้ที่คณะ ๓) ใกล้เช้า พระองค์ท่านก็เสด็จกลับโดยเรือจ้าง (ไป กลับเรือจ้าง) พระองค์ท่านไม่ทรงใช้ของเรือหลวง เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงแล้ว คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ได้ทำการหล่อรูปเหมือนท่าน ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์หน้าพระอุโบสถด้านทิศใต้ เป็นที่สักการบูชา มาจนทุกวันนี้

นับแต่สิ้น พระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม)แล้ว ก็เกิดมีสำนักพระกรรมฐานต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ สภาพความเป็นวัดอรัญวาสีหลัก ที่วัดราชสิทธารามนี้ ก็เกือบจะหมดไปด้วย แต่พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จ พระสังฆราช ไก่เถื่อน ก็ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

 
 

๑๓. ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม)

 ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร

                                                             

พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า เอี่ยม ท่านเป็นบุตรคหบดี บิดามีนามว่า เจ้าสัวเส็ง มารดามีนามว่า จัน เกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลที่ ๓ ที่บ้านท่าหลวง ริมคลองบางหลวง อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี

เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี มารดาบิดา ได้นำท่านมาฝากตัวเป็นศิษย์ พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) ต่อมาท่านอายุ ๑๕ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เรียนอักขรสมัยในสำนัก พระมหาทัด (พระอมรเมธาจารย์) วัดราชสิทธิ์ฯ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ตรงกับปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๕ ในรัชกาลที่ ๔ ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วภายในพรรษานั้น พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) พระอุปัชฌาย์ของท่าน ก็ถึงมรณะภาพลง

ต่อมาได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวร (บุญ) แล้วมาศึกษาต่อ กับพระโยคาภิรัติเถร (มี) แล้วมาศึกษาเพิ่มเติม กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) จนเชี่ยวชาญ จบทั้งสมถะวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ต่อมาท่านได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์ (เกษ)ครั้งเป็นพระปลัดเกษ และเหตุที่ไม่ได้เรียนบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์ (ทัด) พระอนุสาวนาจารย์ เพราะท่านชราทุพพลภาพมากแล้ว เมื่อออกพรรษาของทุกปี ท่านได้ออกสัญจรจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ไปกับพระอาจารย์บ้าง ไปเองบ้าง ไปทุกแห่งหน

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ พรรษาที่เจ็ด ได้เป็นพระปลัด ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) และทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ แก่พระภิกษุสามเณรด้วย ในพรรษานั้นเองท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะหมวด (ตำบล) ด้วย คนทั้งหลายมักเรียกท่านว่าพระปลัดเอี่ยมใหญ่ พระปลัดเอี่ยมเล็กคือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี แต่ยังมีพระครูสังวรสมาธิวัตรนามว่า เอี่ยม อีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ที่เรียกกันว่าปลัดเอี่ยมใหญ่

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๕ พรรษาที่สิบ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็น พระครูสังวรสมาธิวัตร ฝ่ายวิปัสสนาธุระ นิตยภัต ๑ ตำลึง ๒ บาท ต่อมาได้เป็น พระคณาจารย์เอกฝ่ายวิปัสสนาธุระ ปีนั้นเองได้มี เจ้านายในรัชกาลที่ห้า ถวายพัดลอง ทำด้วยใบลาน ให้ท่านหนึ่งด้าม สำหรับผู้เป็นประธานสงฆ์ ใช้บอกศีล และอนุโมทนากถา ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มีนิตยภัต ๓ ตำลึง และควรตั้งถานานุศักดิ์ได้ ๓ รูปคือ พระปลัด ๑ พระสมุห์ ๑ พระใบฏีกา ๑ ได้รับพระราชทานพัดงาสาน ทรงพระราชทานบาตรฝาประดับมุก จ.ป.ร. ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระวัดราชสิทธารามองค์ต่อมา และรักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสีเจ้าคณะธนบุรี ทางราชการได้ถวายนิตยภัตเพิ่มอีก ๒ บาท เป็น ๓ ตำลึง ๒ บาท (๑๔ บาท)

การศึกษาสมัยท่าน การศึกษาพระวิปัสสนาธุระเจริญมาก พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระปลัดชุ่ม เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย ด้านพระกรรมฐานมีพระเถรานุเถระ มาศึกษาพระกรรมฐานมากมายเช่น พระภิกษุบุญ (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว, พระภิกษุเอี่ยม (พระภาวนาโกศลเถร) วัดหนัง บางประวัติว่าศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ), พระสมุห์ชุ่ม สุวรรณศร วัดอมรินทร์, พระภิกษุมั่น หรือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ให้พระอาจารย์มั่นไปศึกษาต่อกับ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโร ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม, พระวินัยธรรม เจ๊ก วัดศาลารี ตลาดขวัญ (นนทบุรี), พระอาจารย์โหน่ง สุพรรณบุรี, พระอาจารย์น้อยสุพรรณบุรี ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ให้ทั้งสองท่านไปเรียนต่อกับพระอาจารย์เนียม ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม, พระภิกษุปาน (วัดบางเหี้ย)ฯลฯ การเรียนพระปริยัติธรรมเรียนภายในวัด พระมหาสอน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๑ จัดงานพระราชทานเพลิงศพ อดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามพร้อมกัน ๓ องค์

พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านมีอุปนิสัยรักสันโดด มีของสิ่งใดมักจะให้ทานแก่ผู้อื่นหมด เมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ไทยทานมาท่านจะนำมาแจกทานแก่พระภิกษุสามเณร ภายในวัดจนหมด แม้ของในกุฏิท่านก็ให้ทานจนหมด ท่านมีมรดก ซึ่งมารดาบิดายกให้ ท่านก็ไม่เอา ยกให้พี่น้องหมด ชาวบ้านมักเรียกขานนามท่านว่า หลวงพ่อใจดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตรัสเรียกนามท่านว่าหลวงพ่อผิวเหลือง เพราะผิวท่านเหลืองดังทอง สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมีพรหมวิหารแก่กล้ามาก กล่าวว่า อีกาตาแวว อีกาขาว มักมาเกาะอยู่ที่กุฎิของท่านเสมอ เวลาท่านไปไหนมาไหนในวัดพลับ พวกอีกาตาแวว อีกาขาว มักบินตามท่านไปด้วยเสมอ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระเมตตา ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) มาก ถึงคราวพระราชทานผ้าพระกฐินทาน ณ.วัดราชสิทธาราม ต้องเสด็จมาทรงเยี่ยมท่านก่อนเสมอทุกครั้ง ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานเตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ ถวายพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ในบริเวณคณะ ๑ กุฎิเจ้าอาวาส ที่สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ พร้อมกันนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทาพื้นกุฎิด้วยชาดแดง พร้อมทาชาด เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานไว้ที่กุฎิคณะ ๑ อันเป็นกุฎิพำนักของเจ้าอาวาสปัจจุบันนี้เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๐ นั้นพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านชราทุพพลภาพลงมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชทานแคร่คานหาม ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธาราม เดิมรัชกาลที่ ๓ พระราชทานให้พระเทพโมลี (กลิ่น)พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานแคร่คานหาม พร้อมกับมีพระดำรัสตรัสสั่งให้ประกาศว่า ถ้าใครนิมนต์ หลวงพ่อผิวเหลือง (ซึ่งหมายถึงพระสังวรานุวงศ์เถรเอี่ยม บางที่ก็เรียกท่านว่า หลวงพ่อใจดี ) ไปกิจนิมนต์ ต้องถวาย ๑ ตำลึง บางแห่งว่าถ้านิมนต์ท่านไปเกิดอาพาธขึ้นมาต้องจ่าย ๑ ตำลึง ทั้งนี้เพราะมีพระราชประสงค์ ไม่ให้ใครมารบกวนท่าน เพราะท่านชราทุพพลภาพมาก แต่นั้นมาเมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ปัจจัยไทยทานกลับมา ท่านก็จะเอาไว้ที่หอฉัน แล้วประกาศว่า พระภิกษุสามเณร ขาคปัจจัยไทยทานสิ่งใดให้มาหยิบเอาที่หอฉัน สมัยต่อมาท่านมีของสิ่งไรท่านก็บริจาคจนหมด ไม่เหลือ เหลือแต่อัฏฐะบริขารเท่านั้น ปัจจุบัน แคร่คานหามพระราชทานยังมีอยู่จนทุกวันนี้ ที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พลับ)

สมัยที่ท่านครองวัดนั้น มีพระภิกษุสามเณร ปะขาว ชี มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับท่านกันมากมาย เพราะเป็นศูนย์กลางกรรมฐาน ของกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านมีศิษย์ทั้งในเมือง และหัวเมือง ยุคของท่านนั้นมีชื่อเสียงมากทางปฎิบัติภาวนา เป็นที่เกรงใจของคณะสงฆ์ และในสมัยนั้นยังไม่มีสำนักพระกรรมฐานที่ไหนเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีสำนักวัดราชสิทธารามเป็นสำนักใหญ่แห่งเดียว เพราะเป็นวัดอรัญวาสีมาแต่เดิม เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ จะมีผู้คนเอาเงิน มาใส่พานให้ท่านทุกวัน ท่านก็จะเอาเงินนั้นแจกทานจนหมดทุกวัน โดยให้มาหยิบเอาเอง มีเรื่องเล่าว่า เมื่อคราวที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินมา ทอดผ้าพระกฐินทาน ต้องมากราบนมัสการ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ทุกครั้ง คราวนั้นพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) วัดพลับ จะเอาของมาตั้งรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ได้บอกกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม)ว่า ของนี้ให้ยืมไว้รับเสด็จ ห้ามให้ใคร ที่บอกอย่างนี้เพราะมีของอะไรใกล้มือ ท่านจะให้ทานหมดเมื่อมีคนขอ

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ท่านมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว ก่อนมรณะภาพประมาณเจ็ดวัน เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี พรรษา ๖๑ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ๒๖ ปี ท่านเป็นพระสังฆเถรที่มีชื่อเสียงผู้คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น กล่าวว่าเมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน คณะศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายสงฆ์ และฝ่ายฆราวาส ทราบข่าวพากันมาเคารพศพท่านกันแน่นลานวัด สรีระของท่าน คณะศิษยานุศิษย์เก็บไว้บำเพ็ญกุศล ประมาณ ๕ ปี (พ.ศ.๒๔๖๑) จึงพระราชทานเพลิงศพ และอีกประการหนึ่งเวลานั้น ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ซึ่งเวลานั้นลาออกจากเจ้าอาวาสและยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อาพาธกระเสาะกระแสะเรื่อยมา ทางคณะกรรมการวัด และคณะศิษยานุศิษย์ เกรงว่าจะมีงานศพซ้อนกัน เหมือนกาลก่อน จึงได้พระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ก่อน ส่วนหีบชั้นในที่ใส่สรีระของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) นั้น ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ได้นำมาต่อเป็นเตียงไว้จำวัด สำหรับปลงพระกรรมฐาน เป็นการกำหนดสติระลึกถึงความตายเนืองๆ ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) และคณะศิษยานุศิษย์ ได้หล่อรูปพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์ด้านหน้าพระอุโบสถ ข้างทิศเหนือ เป็นที่สักการบูชามาจนทุกวันนี้

เมื่อคราวงานพระราชทานเพลิงศพ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) นั้น ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๑ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๔. ประวัติพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)

พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)

 ประวัติพระมงคลเทพมุนี

ประวัติพระมงคลเทพมุนี
พระมงคลเทพมุนี มีนามเดิมว่า เอี่ยม ฉายาว่า เกสรภิกขุ เป็นสกุลพราหมณ์ ชาติ
ภูมิอยู่ตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี บิดาชื่อเกษ มารดาชื่อส้ม เกิดใน
รัชกาลที่ ๓ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม ๑๐ ค่ำ ปี จอ จุลศักราช ๑๒๐๐ ตรงกับ พ.ศ.
๒๓๘๑ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๖ ในรัชกาลที่ ๔ เมื่ออายุ ได้ ๑๕ ปี ได้เป็นศิษย์พระ
ญาณสังวร (บุญ) อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๘ อายุ๑๗ บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระปลัด
อ่อน วัดราชสิทธาราม ศึกษาอัก ขระสมัย และเรียนพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ ใน
สำนักมหาดวง วัดราชสิทธาราม
ครั้นถึงปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ อายุครบอุปสมบท ๆ ณ. พัทธสีมา วัดราช สิทธาราม
พระวินัยรักขิต วัดหงส์รัตนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) วัดราชสิทธาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) วัดราชสิทธาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้ว ศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ต่อมาใน
รัชกาลที่ ๔ พรรษาแรกได้เป็น พระพิธีธรรม
ต่อมาพรรษาที่ ๑๔ ได้ออกสัญจรจาริกถือธุดงค์ ไปตามจังหวัดภาคเหนือ โดย
ตามพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) ไปบ้าง บางที่ก็ไปเองบ้าง และเคยแรมพรรษาที่วัดดอย
ท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ สองพรรษา กลับมาแล้วได้รับแต่งตั้งเป็น พระถานานุกรมที่
พระใบฏีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของพระสังวรานุวงเถร (เมฆ)ต่อมาพรรษาที่ ๑๙ ได้
เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสุทธิศีลาจารย์ วัดราชสิทธาราม
ปีที่ท่านเป็น พระปลัด นั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยา
บำราบปรปักษ์ มีพระประสงค์ ให้พระมงคลเทพมุนี ครั้งเป็นที่ พระปลัดเอี่ยม ช่วย
แต่ง ลิลิตมหาราช ท่านก็แต่งถวายจนสำเร็จ การแต่งในครั้งนั้นมีผู้อื่นช่วยบ้างเล็กน้อย
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้นำหนังสือที่ท่าน
แต่งเสร็จแล้ว ไปไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณ
ต่อมาได้ถวายเทศ กัณฑ์วนประเวศ หน้าพระที่นั่ง รัชกาลที่ ๕ จึงทรงแต่งตั้งเป็น
พระครูชั้นพิเศษที่ พระครูพจนโกศล ท่านเป็นทั้งนักกวี เป็นทั้งนักเทศมหาชาติฝีปาก
เอก เป็นพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับด้วย กรมพระยาดำรง ได้เขียนเล่าประวัติ พระ
มงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ไว้ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ ของพระมงคลเทพมุนี
(เอี่ยม) เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ว่า
. ” กระบวนเทศมหาชาติ ของมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ดูเหมือนจะเทศได้ทุกกัณฑ์
แต่กัณฑ์วนประเวศ นั้นนับว่า ไม่มีตัวที่จะเสมอ ท่านได้เคยถวายเทศนั้นประจำตัว มา
ตั้งแต่ข้าพเจ้า (กรมพระยาดำรง)ยังเด็ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ก็ทรง
โปรด แต่ทรงมีพระราชดำรัสติ อยู่คราวหนึ่ง ว่า...
“พระครูเอี่ยม (พระครูพจนโกศล) เทศก็ดี แต่อย่างไรดูเหมือน อมก้อนอิฐไว้ในปาก”
ต่อมาเมื่อท่านได้เป็น พระมงคลเทพมุนี ฟันหักหมดปากแล้ว ได้ถวายเทศอีกครั้ง
หนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ทรงดำรัสชมว่า “ตั้งแต่ก้อนอิฐหลุดออกจากปากหมด พระมงคลเทพฯ
เทศเพราะขึ้นมาก” ท่านนับอยู่ในพระราชาคณะที่ทรงพระเมตตา องค์หนึ่ง คู่กับ
พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม
พระสังวรานุวงศ์เถร คนทั้งหลายเรียกว่า พระปลัดเอี่ยมใหญ่ (สมัยท่านเป็น พระปลัด)
พระมงคลเทพมุนี คนทั้งหลายเรียกว่า พระปลัดเอี่ยมเล็ก (สมัยท่านเป็น พระ ปลัด)
ถึงปีเถาะ พระพุทธศักราช ๒๔๓๔ สมัยรัชกาลที่ ๕ เลื่อนสมณะศักดิ์ จากพระ
ครูพจนโกศล เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระสุธรรมธีรคุณ ได้รับพระราชทานนิตยภัต
เดือนละ ๑๒ บาท
วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๓๔ เลื่อนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระมงคลเทพมุนี
สมณะศักดิ์เสมอชั้นเทพ มีสำเนาประกาศดังนี้
ให้เลื่อนพระสุธรรมธีรคุณเป็น พระมงคลเทพมุนี ศรีรัตนไพรวัน ปรันต
ประเทศ เขตอรัญวาสีบพิตร สถิตย์ ณ. พระพุทธบาท เมืองปรันตะปะ บังคบคณะพระ
พุทธบาท มีนิตยภัตร ราคา ๓ ตำลึงกึ่ง มีถานานุศักดิ์ ควรตั้งได้ ๕ รูป คือพระครูปลัด ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา ๑ รวม ๕ รูป มี
ตำแหน่งพระครูผู้ช่วย ๓ รูปคือ
๑. พระครูพุทธบาล พระครูรักษาพระพุทธบาท
๒. พระครูมงคลวิจารย์ พระครูรักษาพระพุทธบาท
๓. พระครูญาณมุนี พระครูรักษาพระพุทธบาท
พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ได้เป็นผู้ช่วยพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิ์ ปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๕๖ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ) ต่อมาปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ)
ด้านการศึกษา พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนา
ธุระ ด้านการศึกษา พระปริยัติธรรม พระมหาสอน เป็นพระอาจารย์ใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน ๒๔๕๗ จึงขอลาออกจากเจ้าคณะพระพุทธบาท และ
เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เพราะชราทุพพลภาพ จึงถวายพระพร ขอลาออกจากหน้าที่
ต่อพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ (สิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว) ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่
ประมาณ สามเดือนเศษ
พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) อาพาธด้วยโรคชรา และถึงแก่มรณะภาพ เมื่อวันเสาร์
ที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ คำนวนอายุได้ ๘๕ ปี พระราชทานเพลิงศพเมื่อวัน
พฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๖(นับเดือนไทย เดือนสิงหาคม-เดือนมีนาคม เป็นปี
๒๔๖๖- เดือนเมษายน เป็นปี ๒๔๖๗ )
ผลงาน ของพระมงคลเทพมุนี คิดทำนองหลวงสวดพระอภิธรรม ๑
เป็นนักเทศมหาชาติฝีปากเอก ๑
เป็นกวี แต่งลิลิตมหาราชครั้งเป็น พระปลัดเอี่ยม ๑

 
 

๑๕. ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร(สอน)

 ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร(สอน)

ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร
พระสังวรานุวงศ์ มีนามเดิมว่า สอน ชาติภูมิ อยู่หลังวัดสังข์จาย ตำบลท่าพระ
อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี บิดาชื่อเอี่ยม มารดาชื่อบัว เกิดเมื่อวันอาทิตย์ แรม
๑๑ ค่ำ ปีวอก จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๓๑๕ บรรพชาเป็น สามเณร ศึกษา
พระปริยัติธรรม อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๕ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธา
ราม สมเด็จพระวันรัตน์(แดง) วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระ
พุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ) วัดระฆัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสังวรานุวงศ์เถร
(เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม เป็นอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้ว พรรษานั้น ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระสัวรา
นุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม จบสี่ห้องพระกรรม ออกพรรษาแล้วได้ออกสัญจร
จาริกธุดงค์ ไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระอาจารย์ทุกปี
ศึกษาพระบาลี และหัดเทศ มหาเวศสันดรชาดก กับพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)
เฉพาะกัณฑ์ ทานกัณฑ์ กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี ท่านเทศได้ไพเราะเพาะพริ้งนัก ถึงกับ
ถวายเทศหน้าพระที่นั่ง
ปีพระพุทธศักราช. ๒๔๓๘ เป็นพระใบฎีกา ถานานุกรม ของพระสังวรานุวงศ์ เถร (เอี่ยม)
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๔๓ สอบไล่ได้เป็น เปรียญ ๓ ประโยค
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูปริยัติโกศล
พระครูพิเศษ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา
คณะสามัญที่ พระปริยัติโกศล เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์ เป็นพระราชา
คณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร เสมอชั้นราช พระราชทานพัดแฉกพุ่ม ข้าวบิณฑ์
วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา อายุได้ ๘๕ พรรษา
๖๔ ครองตำแหน่งเจ้าอาวาส ๒๕ ปี

 
 

๑๖. ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ (อยู่)

 ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ

ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ
พระราชวิสุทธิญาณ มีนามเดิมว่า อยู่ บิดาชื่อมี มารดาชื่อแย้ม นามสกุลคุ้มบุญ
มี เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๓๑ ตำบลนรสิงห์ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง
พ.ศ. ๒๔๔๗ อายุ ๑๔ บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระอาจารย์มี วัดอรุณ
ราชวราราม วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑ อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดอรุณราชวราราม
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมโกษาจารย์ เป็น
พระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ) วัดระฆัง ขณะคำรงสมณศักดิ์
เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปัญญาคัมภีร์เถร (พุ่ม) วัด
อรุณราชวราราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมมัชฌิมา แบบ
ลำดับ กับพระปัญญาคัมภีร์เถร(พุ่ม) ต่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี
พ.ศ.๒๔๔๕ สอบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๕๖ สอบนักธรรมตรีได้ สอบเปรียญธรรม ๔ ประโยคได้
พ.ศ. ๒๔๖๘ ในรัชกาลที่๖ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
สามัญที่ พระศากยบุตติวงศ์
พ.ศ.๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งรักษาการ เจ้าอาวาสวัดอรุณฯ
พ.ศ. ๒๕๐๔ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ย้ายมาคำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดราชสิทธา
ราม ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย
พ.ศ.๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระ
ราชวิสุทธิญาณ
พ.ศ.๒๕๑๒มรณภาพลงด้วยโรคชราอายุได้๘๑พรรษา๖๐

 
 

๑๖. ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์ (บุญเลิศ)

 ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์

 

ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์ (พระธรรมสิริชัย)
พระราชสังวรวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า บุญเลิศ นามสกุล ปรักมสิทธิ์ เกิดวันจันทร์
ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ บิดาชื่อบุญเรื่อน
มารดาชื่อเขียน ตำบลบ้านกระแซง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
บรรพชาอุปสมบท วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๕ มิถุนายน
๒๔๘๔ ณ. วัดบ้านนา อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พระครูบวรธรรมกิจ (เทียน) วัด
โบสถ์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทาง
พระพุทธศาสนาว่า โฆสโก อุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระกรรมฐาน กับพระครูบวรธรรม
กิจ (เทียน) ต่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี แล้วย้ายมาศึกษาต่อที่ วัดอรุณราชวราราม
พ.ศ. ๒๔๗๔ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ โรงเรียนวัดไก่เตี้ย ปทุมธานี
พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบนักธรรมเอกได้ ณ. สำนักเรียนวัดอรุณฯ
พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นพระครูธรรมธร ถานานุกรม ของพระธรรมไตรโลกาจารย์ (วน
ฐิติญาโน) วัดอรุณราชวราราม
พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็นเจ้าคณะ๗ วัดอรุณฯ กรุงเทพฯ และได้รับพระราชทานเป็น
พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงที่ พระครูประกาศสมณคุณ จ.ป.ร.
พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นพระสงฆ์อนุจรติดตามพระศากยบุตติวงศ์ (อยู่) มาวัดราชสิทธา
ราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย
พ.ศ. ๒๕๐๗ รักษาการเจ้าอาวาสวัดดอน และเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก
ในนามเดิม
พ.ศ. ๒๕๑๒ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระสังวร
กิจโกศล
พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้รับพระบัญชาเป็น เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์วิสามัญ
พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่
พระราชสังวรวิสุทธิ์
พ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะแขวงวัดอรุณฯ
พ.ศ.๒๕๒๕ ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ต่อมาเป็นเจ้าคณะเขต
บางกอกใหญ่ ปัจจุบันเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมสิริชัย

พ.ศ. ๒๓๕๑ พระรรมสิริชัย มรณภาพ ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุ ๙๐ พรรษา๖๘

 
 

๑๗. ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์ (พลายงาม)

 ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์

 

ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์
พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า พลายงาม นามสกุล บุญชัย เกิดวันอังคาร ขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ บิดาชื่อง้วน มารดาชื่อ
ลุ่ย บ้านเลขที่ ๒๐ หมู่๕ ตำบลท่าเสา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี บรรพชาเป็น
สามเณร วันจันทร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๕ พฤษาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระ
ครูวรวัตรวิบูรณ์ เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา วัดท่าเรือ เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบท วันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๕ มีนาคม
พ.ศ. ๒๔๙๖ ณ. พัทธสีมา วัดปากบาง ตำบลท่าเสา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
พระครูจริยาภิรัต เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา วัดลูกแก ตำบลดอนขมิ้น จังหวัดกาญจนบุรี
เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้ว ศึกษาพระกรรมฐาน กับพระครูจริยาภิรัต ต่อมาศึกษา
พระปริยัติธรรมบาลี
พ.ศ. ๒๔๙๐สำเร็จวิชาชั้นประถมศึกษาสมบูรณ์ โรงเรียนประชาบาล วัดปากบาง
พ.ศ. ๒๔๙๘ สอบได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดสนามชัย ต.เจ็ดเสมียญ อ.โพ
ธาราม จ.ราชบุรี
พ.ศ.๒๕๐๔ เป็นพระสงฆ์อนุจรติดตาม พระศากยบุตติวงศ์ (อยู่) มาวัดราชสิทธา
ราม และเป็นพระปลัด ถานานุกรม ของพระศากยบุตติวงศ์ด้วย
พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นพระครูปลัด ถานานุกรม ของพระราชวิสุทธิญาณ (อยู่) วัดราช
สิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวิบูลสาธุวัตร (จ.ป.ร.)
พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม พ.ศ.๒๕๑๗ เลื่อนเป็นพระครู
ชั้นเอก รองเจ้าอาวาส(รจล.ชอ.)
พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระพิพัฒนวิริยาภรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๕ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม และเป็นเจ้าอาวาสวัดราช
สิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับพระบัญชาเป็น พระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะแขวงวัดอรุณ
เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชพิพัฒนาภรณ์
พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่
พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพศีลวิสุทธิ์
พ.ศ.๒๕๔๕เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมรัตนวิสุทธิ์

 พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดพิธีสมโภชพระอาราม เนื่องในโอกาสวรสิทธิมงคล พระอนุจรครบ ๕๐ ปี พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ เมื่อ๑๙-๒๐ มิถุนายน