ประวัติ

ประวัติ

 ประวัติพระปัญญาภิษารเถร (ศุก)
00019

ประวัติพระปัญญาภิษารเถร (ศุก)
พระปัญญาภิศาลเถร หรือพระอาจารย์ศุก ท่านเกิดประมาณปีพระพุทธศักราช
๒๒๗๘ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ท่านบรรพชา-อุปสมบท ณ วัดโคกขวิด (โคกมะขวิด) แขวงอยุธยา อุปสมบทแล้วเล่าเรียนพระปริยัติ และพระกรรมฐาน ในสำนัก
พระอุปัชฌาย์ ต่อมาได้ออกสัญจรจาริกธุดงค์ หาความสงบ วิเวก ไปตามสถานที่ต่างๆ
ไปกับหมู่คณะบ้าง ไปลำพังเพียงองค์เดียวบ้าง จนท่านมีความชำนาญ ในการออกป่า
ขากลับจากรุกขมูล ท่านพบพระอาจารย์สุก ที่ป่าชุมแพ (อยุธยา) แขวงสิงห์บุรี
พระอาจารย์สุก ทรงสอนวิชาพระกรรมฐานชั้นสูง โดยให้ท่านศึกษาวิชาสงัดจิต สงัดใจ
เพ่งจิตให้สงบวิเวก วังเวง อธิฐานอาโปธาตุ ลงไปในน้ำ ทำให้เย็น ทำให้ร้อน ทำให้เดือด
ท่านได้พบไม้เท้าเถาอริยะในถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านนำติดตัวไป-มาเสมอ เป็นไม้เท้า
ของเก่า ของบูรพาจารย์ แต่โบราณกาล ท่านพบในถ้ำป่าลึกแห่งหนึ่ง
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๗ ท่านจาริกกลับจากป่า มาวัดท่าหอย ทราบข่าวว่า
พระอาจารย์สุก และคณะสงฆ์อนุจร มาสถิตอยู่วัดพลับ ท่านจึงเดินทางออกจากวัดท่าหอย พร้อมเพื่อนสหธรรมิก มาวัดพลับ เพื่อช่วยกิจการพระศาสนา ต่อมาพระญาณ
สังวรเถร (ศุก) ตั้งให้ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครู
วิปัสสนาธุระที่ พระครูธรรมสถิต เป็นพระอาจารย์บอกพระกรรมฐาน ในวัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ พระครูธรรมสถิต (ศุก) ได้รับพระราชทานเลื่อน
สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระปัญญาภิษารเถร โปรดเกล้าฯ ให้
ไปครองวัด โปรดเกษเชษฐาราม วัดอรัญวาสีหัวเมือง สืบสายพระกรรมฐานมัชฌิมา
แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน ชาวบ้านแถวเมืองนครเขื่อนขันธ์ ให้
ฉายานามท่านว่า ท่านท่าหอย เนื่องจากท่านมีปฏิปทา มีเมตตา เหมือนสมเด็จพระอาจารย์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๗ ประมาณกลางปี พระปัญญาภิษารเถร (ศุก) อาพาธ
ลงด้วยโรคชรา และได้มรณะภาพลง เมื่อสิริมายุได้ประมาณ ๘๘ ปีเศษ ณ วัดโปรดเกษ
เชษฐาราม เมืองนครเขื่อนขันธ์

 
 

00018 ประวัติพระครูกิจานุวัตร(สี)

ประวัติพระครูกิจานุวัตร(สี)
พระครูกิจจานุวัตร หรือพระอาจารย์สี ท่านเกิดประมาณปีพระพุทธศักราช
๒๒๗๙ รัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ แขวงเมืองนครสวรรค์ บรรพชา-อุปสมบท ณ วัดพระ
ศรีฯ เมืองนครสวรรค์
ท่านพบ กับพระอาจารย์สุก ที่ป่าดงพญาเย็น แขวงอุตรดิตถ์ ท่านมีความศรัทธา
เลื่อมใสในพระอาจารย์สุก ต่อมาท่านได้ขอศึกษาวิชากรรมฐานชั้นสูง พระอาจารย์สุก
ได้สอนวิชาแยกธาตุขันธ์ วิชาสลายธาตุขันธ์ ให้กับพระอาจารย์สี ไว้เจริญวิปัสสนา
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๑๐ สมัยธนบุรี ท่านทราบข่าวว่าพระอาจารย์สุก
มาสถิตวัดท่าหอย ท่านจึงจาริกติดตามมาอยู่ที่วัดท่าหอยด้วย และได้ช่วยพระอาจารย์สุก
ทำอุปสมบทกรรมอุปสมบท
ต่อมาพระอาจารย์สุก ได้มอบไม้เท้าเบิกไพร ที่เรียกว่า ไม้เท้าเถาอริยะ ที่
พระองค์ท่านได้มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในป่าลึก อันเป็นของบูรพาจารย์ มาแต่โบราณกาล ซึ่ง
ท่านมาละสังขาร พร้อมทิ้งไม้เท้าเถาอริยะนี้ไว้ในถ้ำแห่งนั้น พระองค์ท่าน ทรงประทาน
ไม้เท้าเถาอริยนี้ให้ กับพระอาจารย์สี ไว้ใช้เบิกไพร เปิดทาง แหวกทาง แผ่เมตตา เวลา
สัญจรจาริกธุดงค์ ออกป่าเขาลำเนาไพร
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๗ ท่านกลับออกมาจากป่า ถึงวัดท่าหอย ทราบข่าวว่า
พระอาจารย์สุก มากรุงเทพฯ สถิตวัดพลับ ท่านจึงเดินทางจาริกมา วัดพลับ พร้อมด้วย
เพื่อนสหธรรมิก มาช่วยพระอาจารย์สุก พระอาจารย์ ของท่านในกิจการต่างๆ ภายในวัด
พลับ ต่อมาพระญาณสังวรเถร (สุก) ตั้งท่านให้ช่วยดูแลพระกรรมฐาน
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ ท่านเป็นพระถานานุกรม ของสมเด็จพระญาณสังวร
ที่พระครูสมุห์
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ ท่านพระครูสมุห์สี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
เป็นพระครูฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระครูกิจจานุวัตร
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ - ๒๓๖๕ เป็นคณะกรรมการสังคายนาพระกรรมฐาน
มัชฌิมา แบบลำดับ และเป็นคณะกรรมการหล่อพระรูป สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๖ ท่านอาพาธด้วยโรคชรา และถึงแก่มรณะภาพด้วย
อาการสงบ เมื่ออายุได้ ๘๖ ปีเศษ ได้ทำการพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดราชสิทธาราม

 
 

 ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์

 

ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์
พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า พลายงาม นามสกุล บุญชัย เกิดวันอังคาร ขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ บิดาชื่อง้วน มารดาชื่อ
ลุ่ย บ้านเลขที่ ๒๐ หมู่๕ ตำบลท่าเสา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี บรรพชาเป็น
สามเณร วันจันทร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๕ พฤษาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระ
ครูวรวัตรวิบูรณ์ เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา วัดท่าเรือ เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบท วันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๕ มีนาคม
พ.ศ. ๒๔๙๖ ณ. พัทธสีมา วัดปากบาง ตำบลท่าเสา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
พระครูจริยาภิรัต เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา วัดลูกแก ตำบลดอนขมิ้น จังหวัดกาญจนบุรี
เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้ว ศึกษาพระกรรมฐาน กับพระครูจริยาภิรัต ต่อมาศึกษา
พระปริยัติธรรมบาลี
พ.ศ. ๒๔๙๐สำเร็จวิชาชั้นประถมศึกษาสมบูรณ์ โรงเรียนประชาบาล วัดปากบาง
พ.ศ. ๒๔๙๘ สอบได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดสนามชัย ต.เจ็ดเสมียญ อ.โพ
ธาราม จ.ราชบุรี
พ.ศ.๒๕๐๔ เป็นพระสงฆ์อนุจรติดตาม พระศากยบุตติวงศ์ (อยู่) มาวัดราชสิทธา
ราม และเป็นพระปลัด ถานานุกรม ของพระศากยบุตติวงศ์ด้วย
พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นพระครูปลัด ถานานุกรม ของพระราชวิสุทธิญาณ (อยู่) วัดราช
สิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวิบูลสาธุวัตร (จ.ป.ร.)
พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม พ.ศ.๒๕๑๗ เลื่อนเป็นพระครู
ชั้นเอก รองเจ้าอาวาส(รจล.ชอ.)
พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระพิพัฒนวิริยาภรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๕ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม และเป็นเจ้าอาวาสวัดราช
สิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับพระบัญชาเป็น พระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะแขวงวัดอรุณ
เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชพิพัฒนาภรณ์
พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่
พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพศีลวิสุทธิ์
พ.ศ.๒๕๔๕เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมรัตนวิสุทธิ์

 พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดพิธีสมโภชพระอาราม เนื่องในโอกาสวรสิทธิมงคล พระอนุจรครบ ๕๐ ปี พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ เมื่อ๑๙-๒๐ มิถุนายน

 

 
 

 ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์

 

ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์ (พระธรรมสิริชัย)
พระราชสังวรวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า บุญเลิศ นามสกุล ปรักมสิทธิ์ เกิดวันจันทร์
ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ บิดาชื่อบุญเรื่อน
มารดาชื่อเขียน ตำบลบ้านกระแซง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
บรรพชาอุปสมบท วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๕ มิถุนายน
๒๔๘๔ ณ. วัดบ้านนา อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พระครูบวรธรรมกิจ (เทียน) วัด
โบสถ์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทาง
พระพุทธศาสนาว่า โฆสโก อุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระกรรมฐาน กับพระครูบวรธรรม
กิจ (เทียน) ต่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี แล้วย้ายมาศึกษาต่อที่ วัดอรุณราชวราราม
พ.ศ. ๒๔๗๔ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ โรงเรียนวัดไก่เตี้ย ปทุมธานี
พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบนักธรรมเอกได้ ณ. สำนักเรียนวัดอรุณฯ
พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นพระครูธรรมธร ถานานุกรม ของพระธรรมไตรโลกาจารย์ (วน
ฐิติญาโน) วัดอรุณราชวราราม
พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็นเจ้าคณะ๗ วัดอรุณฯ กรุงเทพฯ และได้รับพระราชทานเป็น
พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงที่ พระครูประกาศสมณคุณ จ.ป.ร.
พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นพระสงฆ์อนุจรติดตามพระศากยบุตติวงศ์ (อยู่) มาวัดราชสิทธา
ราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย
พ.ศ. ๒๕๐๗ รักษาการเจ้าอาวาสวัดดอน และเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก
ในนามเดิม
พ.ศ. ๒๕๑๒ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระสังวร
กิจโกศล
พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้รับพระบัญชาเป็น เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์วิสามัญ
พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่
พระราชสังวรวิสุทธิ์
พ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะแขวงวัดอรุณฯ
พ.ศ.๒๕๒๕ ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ต่อมาเป็นเจ้าคณะเขต
บางกอกใหญ่ ปัจจุบันเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมสิริชัย

พ.ศ. ๒๓๕๑ พระรรมสิริชัย มรณภาพ ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุ ๙๐ พรรษา๖๘

 
 

 ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ

ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ
พระราชวิสุทธิญาณ มีนามเดิมว่า อยู่ บิดาชื่อมี มารดาชื่อแย้ม นามสกุลคุ้มบุญ
มี เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๓๑ ตำบลนรสิงห์ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง
พ.ศ. ๒๔๔๗ อายุ ๑๔ บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระอาจารย์มี วัดอรุณ
ราชวราราม วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑ อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดอรุณราชวราราม
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมโกษาจารย์ เป็น
พระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ) วัดระฆัง ขณะคำรงสมณศักดิ์
เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปัญญาคัมภีร์เถร (พุ่ม) วัด
อรุณราชวราราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมมัชฌิมา แบบ
ลำดับ กับพระปัญญาคัมภีร์เถร(พุ่ม) ต่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี
พ.ศ.๒๔๔๕ สอบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๕๖ สอบนักธรรมตรีได้ สอบเปรียญธรรม ๔ ประโยคได้
พ.ศ. ๒๔๖๘ ในรัชกาลที่๖ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
สามัญที่ พระศากยบุตติวงศ์
พ.ศ.๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งรักษาการ เจ้าอาวาสวัดอรุณฯ
พ.ศ. ๒๕๐๔ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ย้ายมาคำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดราชสิทธา
ราม ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย
พ.ศ.๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระ
ราชวิสุทธิญาณ
พ.ศ.๒๕๑๒มรณภาพลงด้วยโรคชราอายุได้๘๑พรรษา๖๐

 
 
 ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร(สอน)

ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร
พระสังวรานุวงศ์ มีนามเดิมว่า สอน ชาติภูมิ อยู่หลังวัดสังข์จาย ตำบลท่าพระ
อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี บิดาชื่อเอี่ยม มารดาชื่อบัว เกิดเมื่อวันอาทิตย์ แรม
๑๑ ค่ำ ปีวอก จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๓๑๕ บรรพชาเป็น สามเณร ศึกษา
พระปริยัติธรรม อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๕ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธา
ราม สมเด็จพระวันรัตน์(แดง) วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระ
พุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ) วัดระฆัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสังวรานุวงศ์เถร
(เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม เป็นอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้ว พรรษานั้น ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระสัวรา
นุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม จบสี่ห้องพระกรรม ออกพรรษาแล้วได้ออกสัญจร
จาริกธุดงค์ ไปตามสถานที่ต่างๆ กับพระอาจารย์ทุกปี
ศึกษาพระบาลี และหัดเทศ มหาเวศสันดรชาดก กับพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)
เฉพาะกัณฑ์ ทานกัณฑ์ กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี ท่านเทศได้ไพเราะเพาะพริ้งนัก ถึงกับ
ถวายเทศหน้าพระที่นั่ง
ปีพระพุทธศักราช. ๒๔๓๘ เป็นพระใบฎีกา ถานานุกรม ของพระสังวรานุวงศ์ เถร (เอี่ยม)
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๔๓ สอบไล่ได้เป็น เปรียญ ๓ ประโยค
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูปริยัติโกศล
พระครูพิเศษ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา
คณะสามัญที่ พระปริยัติโกศล เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามด้วย
ปีพระพุทธศักราช ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์ เป็นพระราชา
คณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร เสมอชั้นราช พระราชทานพัดแฉกพุ่ม ข้าวบิณฑ์
วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา อายุได้ ๘๕ พรรษา
๖๔ ครองตำแหน่งเจ้าอาวาส ๒๕ ปี

 
 

 พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)

พระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า ชุ่ม เป็นบุตรนายอ่อน โพอ่อน นางขลิบ โพ อ่อน เกิดที่ตำบลเกาะท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่อวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. ๑๒๑๕ ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ในต้นรัชกาลที่ ๔ ได้เล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี ในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม ตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๙ ในรัชกาลที่ ๔ อายุ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนัก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ได้ศึกษาอยู่ตลอดมา ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๑๗ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์กลั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) และศึกษาพระกรรมฐานต่อกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ครั้งยังเป็นพระครู สังวรสมาธิวัตร แล้วได้ออกสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำทุกปี ต่อมาได้รับสืบทอดไม้เท้า ไผ่ยอดตาล จากพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) องค์พระอุปัชฌาย์

ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๑ เป็นเจ้าคณะหมวด เมื่อพรรษาได้ ๔ พรรษา ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๔ เป็นพระใบฏีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๗ พรรษา ๑๐ เป็นพระสมุห์ ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๒ ของพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ในพรรษานั้นท่านได้รับแต่งตั้งจาก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ให้เป็น พระอาจารย์บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับด้วย ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ พรรษาที่ ๑๒ ได้เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระครูชั้นพิเศษ ตำแหน่งรองเจ้าอาวาสที่ พระครูสังวรสมาธิวัตร ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๗ บาท และในปีเดียวกันนี้ พระครูสังวรสมาธิวัตร(ชุ่ม) ได้รับแต่งตั้งเป็น พระคณาจารย์ เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา คณะสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้ายของวัดราชสิทธาราม ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๑๒ บาท ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๘ พระสุธรรมสังวร (ม่วง) ลาออกจากเจ้าอาวาสวัดราช สิทธาราม กลับไปวัดเดิม พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ราชสิทธาราม เป็นองค์ต่อมา และเป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มณฑลธนบุรี นับเป็นองค์ สุดท้าย ที่เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ประจำมณฑลธนบุรี และได้รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้าย ของวัดราชสิทธาราม

ผู้คนทั้งหลาย ในสมัยนั้น เรียกขานนามท่านว่า ท่านเจ้าคุณสังวราฯ บ้าง หลวงปู่ชุ่มบ้าง ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๙ ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพื่มขึ้นอีก เดือนละ ๒ บาท รวมเป็น ๒๔ บาท เทียบพระราชาคณะชั้นราช ปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๐ พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามแล้ว พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในสมัยท่านเจริญรุ่งเรื่องมาก มีพระเถรพระมหาเถร มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกันมากมาย มีปรากฏชื่อเสียงหลายท่านคือ พระภิกษุพริ้ง (พระครูประสาธสิกขกิจ ) วัดบางประกอก พระภิกษุสด(พระมงคลเทพ มุนี) วัดปากน้ำ พระภิกษุโต๊ะ (พระราชวังวราภิมนต์) วัดประดู่ฉิมพลี พระภิกษุกล้าย (พระครูพรหมญาณวินิจ) วัดหงส์รัตนาราม พระภิกษุขัน (พระครูกสิณสังวร) วัดสระเกศ พระภิกษุเพิ่ม (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อปานวัดบางนมโค มาศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)ไม่ทัน ท่านจึงไปศึกษากับ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกฯ แทน ในกาลต่อมา การศึกษาสมัยท่านครองวัด ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเอง พระ ครูสังวรสมาธิวัตร(แป๊ะ) เป็นผู้ช่วยพระอาจารย์ใหญ่ ทางด้านพระปริยัติธรรม พระ มหาสอนเป็น พระอาจารย์ใหญ่ เรียนพระบาลีไปเรียนที่วัดประยูรวงศาวาสบ้าง วัดอรุณ ราชวรารามบ้าง ในสมัยที่ท่านครองวัด พระกรรมฐานเจริญรุ่งเรื่องมาก ถึงขนาดมีพระสงฆ์มา ศึกษาพระกรรมฐานมากถึง ๒๐๐ รูปเศษ ท่านเป็นผู้เก็บรักษา เครื่องบริขารต่างๆของ บูรพาจารย์พระกรรมฐาน ต่อจากพระอาจารย์ของท่าน มีบริขารของสมเด็จพระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) เป็นต้น ปัจจุบันบริขารต่างๆได้เก็บรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม

ปีพระพุทธศักราช. ๒๔๗๐ ท่านมรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๗๐ รวมสิริรวมอายุได้ ๗๕ ปี พรรษา ๕๔ เมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน มี ผู้คนคณะสงฆ์ที่เคารพนับถือท่านได้มาที่วัดราชสิทธารามกันแน่นวัดมีเรือจอดที่คลอง หน้าวัดแน่นขนัด เก็บสรีระของท่าน ไว้บำเพ็ญกุศลประมาณ ๑๐๐ วัน ระหว่างบำเพ็ญ กุศลมีการจุดพลุตลอดทั้ง ๑๐๐ วัน เมื่อจะพระราชทานเพลิงศพทางวัด ได้จัดทำเมรุ ทำเป็นรูปทรงเขาพระสุเมรุราช ข้างพระเจดีย์ใหญ่หน้าวัดด้านใต้ พระราชทานเพลิงศพเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๗๐(นับเดือนไทย ตั้งแต่ เดือนเมษายน เป็นปี ๒๔๗๑) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เสด็จมาเป็นองค์ประธาน พระราชทาน เพลิงศพ ท่านเสด็จมาโดยมิได้มีหมายกำหนดการมาก่อน เมื่อมาถึงทางวัดได้จัดการให้ พระองค์ท่านประทับนั่งอย่างสมพระเกียรติ (นั่งโต๊ะ) แต่พระองค์ท่านได้ตรัสว่า ฉันมาเผาอาจารย์ฉัน แล้วพระองค์ท่านก็ให้พระสงฆ์ที่ติดตามท่านมาปูลาดอาสนะธรรมดา ประทับนั่งลงกับพื้นในที่ชุมนุมสงฆ์แถวหน้าอย่างโดยไม่ถือพระองค์ กล่าวว่าท่านเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์เดียว ที่เสด็จมาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับจนจบ กล่าวขานกันในสมัยนั้นว่าท่านเป็นพระมหาเถรองค์หนึ่งที่ บรรลุคุณวิเศษใน พระพุทธศาสนา พระองค์ท่านจะมาศึกษาแบบส่วนพระองค์ในเวลาค่ำ หลังเสร็จราชกิจ ทรงศึกษา กับพระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) ณ วัดราชสิทธารามที่กุฏิหลังเขียว (ปัจจุบันรื้อไปแล้วไปปลูกไว้ที่คณะ ๓) ใกล้เช้า พระองค์ท่านก็เสด็จกลับโดยเรือจ้าง (ไป กลับเรือจ้าง) พระองค์ท่านไม่ทรงใช้ของเรือหลวง เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงแล้ว คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ได้ทำการหล่อรูปเหมือนท่าน ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์หน้าพระอุโบสถด้านทิศใต้ เป็นที่สักการบูชา มาจนทุกวันนี้

นับแต่สิ้น พระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม)แล้ว ก็เกิดมีสำนักพระกรรมฐานต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ สภาพความเป็นวัดอรัญวาสีหลัก ที่วัดราชสิทธารามนี้ ก็เกือบจะหมดไปด้วย แต่พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จ พระสังฆราช ไก่เถื่อน ก็ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

 
 

พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม)

 ประวัติพระมงคลเทพมุนี

ประวัติพระมงคลเทพมุนี
พระมงคลเทพมุนี มีนามเดิมว่า เอี่ยม ฉายาว่า เกสรภิกขุ เป็นสกุลพราหมณ์ ชาติ
ภูมิอยู่ตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี บิดาชื่อเกษ มารดาชื่อส้ม เกิดใน
รัชกาลที่ ๓ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม ๑๐ ค่ำ ปี จอ จุลศักราช ๑๒๐๐ ตรงกับ พ.ศ.
๒๓๘๑ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๖ ในรัชกาลที่ ๔ เมื่ออายุ ได้ ๑๕ ปี ได้เป็นศิษย์พระ
ญาณสังวร (บุญ) อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
ปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๘ อายุ๑๗ บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระปลัด
อ่อน วัดราชสิทธาราม ศึกษาอัก ขระสมัย และเรียนพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ ใน
สำนักมหาดวง วัดราชสิทธาราม
ครั้นถึงปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ อายุครบอุปสมบท ๆ ณ. พัทธสีมา วัดราช สิทธาราม
พระวินัยรักขิต วัดหงส์รัตนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) วัดราชสิทธาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) วัดราชสิทธาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้ว ศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ต่อมาใน
รัชกาลที่ ๔ พรรษาแรกได้เป็น พระพิธีธรรม
ต่อมาพรรษาที่ ๑๔ ได้ออกสัญจรจาริกถือธุดงค์ ไปตามจังหวัดภาคเหนือ โดย
ตามพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) ไปบ้าง บางที่ก็ไปเองบ้าง และเคยแรมพรรษาที่วัดดอย
ท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ สองพรรษา กลับมาแล้วได้รับแต่งตั้งเป็น พระถานานุกรมที่
พระใบฏีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของพระสังวรานุวงเถร (เมฆ)ต่อมาพรรษาที่ ๑๙ ได้
เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสุทธิศีลาจารย์ วัดราชสิทธาราม
ปีที่ท่านเป็น พระปลัด นั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยา
บำราบปรปักษ์ มีพระประสงค์ ให้พระมงคลเทพมุนี ครั้งเป็นที่ พระปลัดเอี่ยม ช่วย
แต่ง ลิลิตมหาราช ท่านก็แต่งถวายจนสำเร็จ การแต่งในครั้งนั้นมีผู้อื่นช่วยบ้างเล็กน้อย
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้นำหนังสือที่ท่าน
แต่งเสร็จแล้ว ไปไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณ
ต่อมาได้ถวายเทศ กัณฑ์วนประเวศ หน้าพระที่นั่ง รัชกาลที่ ๕ จึงทรงแต่งตั้งเป็น
พระครูชั้นพิเศษที่ พระครูพจนโกศล ท่านเป็นทั้งนักกวี เป็นทั้งนักเทศมหาชาติฝีปาก
เอก เป็นพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับด้วย กรมพระยาดำรง ได้เขียนเล่าประวัติ พระ
มงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ไว้ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ ของพระมงคลเทพมุนี
(เอี่ยม) เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ว่า
. ” กระบวนเทศมหาชาติ ของมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ดูเหมือนจะเทศได้ทุกกัณฑ์
แต่กัณฑ์วนประเวศ นั้นนับว่า ไม่มีตัวที่จะเสมอ ท่านได้เคยถวายเทศนั้นประจำตัว มา
ตั้งแต่ข้าพเจ้า (กรมพระยาดำรง)ยังเด็ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ก็ทรง
โปรด แต่ทรงมีพระราชดำรัสติ อยู่คราวหนึ่ง ว่า...
“พระครูเอี่ยม (พระครูพจนโกศล) เทศก็ดี แต่อย่างไรดูเหมือน อมก้อนอิฐไว้ในปาก”
ต่อมาเมื่อท่านได้เป็น พระมงคลเทพมุนี ฟันหักหมดปากแล้ว ได้ถวายเทศอีกครั้ง
หนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ทรงดำรัสชมว่า “ตั้งแต่ก้อนอิฐหลุดออกจากปากหมด พระมงคลเทพฯ
เทศเพราะขึ้นมาก” ท่านนับอยู่ในพระราชาคณะที่ทรงพระเมตตา องค์หนึ่ง คู่กับ
พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม
พระสังวรานุวงศ์เถร คนทั้งหลายเรียกว่า พระปลัดเอี่ยมใหญ่ (สมัยท่านเป็น พระปลัด)
พระมงคลเทพมุนี คนทั้งหลายเรียกว่า พระปลัดเอี่ยมเล็ก (สมัยท่านเป็น พระ ปลัด)
ถึงปีเถาะ พระพุทธศักราช ๒๔๓๔ สมัยรัชกาลที่ ๕ เลื่อนสมณะศักดิ์ จากพระ
ครูพจนโกศล เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระสุธรรมธีรคุณ ได้รับพระราชทานนิตยภัต
เดือนละ ๑๒ บาท
วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๓๔ เลื่อนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระมงคลเทพมุนี
สมณะศักดิ์เสมอชั้นเทพ มีสำเนาประกาศดังนี้
ให้เลื่อนพระสุธรรมธีรคุณเป็น พระมงคลเทพมุนี ศรีรัตนไพรวัน ปรันต
ประเทศ เขตอรัญวาสีบพิตร สถิตย์ ณ. พระพุทธบาท เมืองปรันตะปะ บังคบคณะพระ
พุทธบาท มีนิตยภัตร ราคา ๓ ตำลึงกึ่ง มีถานานุศักดิ์ ควรตั้งได้ ๕ รูป คือพระครูปลัด ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา ๑ รวม ๕ รูป มี
ตำแหน่งพระครูผู้ช่วย ๓ รูปคือ
๑. พระครูพุทธบาล พระครูรักษาพระพุทธบาท
๒. พระครูมงคลวิจารย์ พระครูรักษาพระพุทธบาท
๓. พระครูญาณมุนี พระครูรักษาพระพุทธบาท
พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ได้เป็นผู้ช่วยพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิ์ ปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๕๖ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ) ต่อมาปีพระ
พุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (พลับ)
ด้านการศึกษา พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนา
ธุระ ด้านการศึกษา พระปริยัติธรรม พระมหาสอน เป็นพระอาจารย์ใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน ๒๔๕๗ จึงขอลาออกจากเจ้าคณะพระพุทธบาท และ
เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เพราะชราทุพพลภาพ จึงถวายพระพร ขอลาออกจากหน้าที่
ต่อพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ (สิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว) ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่
ประมาณ สามเดือนเศษ
พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) อาพาธด้วยโรคชรา และถึงแก่มรณะภาพ เมื่อวันเสาร์
ที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ คำนวนอายุได้ ๘๕ ปี พระราชทานเพลิงศพเมื่อวัน
พฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๖(นับเดือนไทย เดือนสิงหาคม-เดือนมีนาคม เป็นปี
๒๔๖๖- เดือนเมษายน เป็นปี ๒๔๖๗ )
ผลงาน ของพระมงคลเทพมุนี คิดทำนองหลวงสวดพระอภิธรรม ๑
เป็นนักเทศมหาชาติฝีปากเอก ๑
เป็นกวี แต่งลิลิตมหาราชครั้งเป็น พระปลัดเอี่ยม ๑

 
 

 ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร

                                                             

พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า เอี่ยม ท่านเป็นบุตรคหบดี บิดามีนามว่า เจ้าสัวเส็ง มารดามีนามว่า จัน เกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลที่ ๓ ที่บ้านท่าหลวง ริมคลองบางหลวง อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี

เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี มารดาบิดา ได้นำท่านมาฝากตัวเป็นศิษย์ พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) ต่อมาท่านอายุ ๑๕ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เรียนอักขรสมัยในสำนัก พระมหาทัด (พระอมรเมธาจารย์) วัดราชสิทธิ์ฯ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ตรงกับปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๕ ในรัชกาลที่ ๔ ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วภายในพรรษานั้น พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) พระอุปัชฌาย์ของท่าน ก็ถึงมรณะภาพลง

ต่อมาได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวร (บุญ) แล้วมาศึกษาต่อ กับพระโยคาภิรัติเถร (มี) แล้วมาศึกษา